งานคารวะเจ้าปู่มเหสักข์ ภูไทวาริชภูมิ

9489 ครั้ง |

ชื่อเรียกอื่น : งานเลี้ยงปู่มเหสักข์วาริชภูมิ, งานภูไทรำลึกวาริชภูมิ
เดือนที่จัดงาน : เมษายน
เวลาทางจันทรคติ : วันที่ 6 เมษายน ของทุกปี
สถานที่ : ศาลเจ้าปู่มเหสักข์ ตำบลวาริชภูมิ อำเภอวาริชภูมิ จังหวัดสกลนคร
ภาค / จังหวัด : ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
: สกลนคร
ประเภท : ประเพณีตามเทศกาล หรือประเพณี 12 เดือน,ประเพณีเกี่ยวกับการเฉลิมฉลองและเพื่อสิริมงคล
ประเพณีที่เกี่ยวข้อง :
คำสำคัญ : เจ้าปู่มเหสักข์วาริชภูมิ, ภูไทวาริชภูมิ,ภูไท,ชาติพันธุ์
ผู้เขียน : ธีระวัฒน์ แสนคำ
วันที่เผยแพร่ : 6 ก.ค. 2561
วันที่อัพเดท : 9 ก.ค. 2561

งานคารวะเจ้าปู่มเหสักข์ภูไทวาริชภูมิ อำเภอวาริชภูมิ จังหวัดสกลนคร

         ชุมชนในเขตตำบลวาริชภูมิ อำเภอวาริชภูมิ จังหวัดสกลนคร เป็นชุมชนของชาวภูไทที่อพยพมาจากทางฝั่งซ้ายของแม่น้ำโขงเมื่อราวปี พ.ศ.2387 แล้วเข้ามาตั้งถิ่นฐานอยู่ในบริเวณที่เคยเป็นชุมชนมาก่อนแต่ว่าถูกทิ้งร้างไปด้วยภัยสงคราม ตามประวัติชาวภูไทวาริชภูมิในหนังสือ “ประวัติศาสตร์ท้องถิ่นสกลนคร” ของ ดร. สพสันติ์ เพชรคำ มหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร ระบุว่า กองทัพสยามจึงได้เกลี้ยกล่อมชาวภูไทให้อพยพข้ามมาตั้งบ้านเมืองอยู่ทางฝั่งขวาแม่น้ำโขง ทำให้ท้าวคำเขื่อน เจ้าเมืองกะป๋อง ซึ่งเป็นผู้นำของชาวภูไทเห็นว่าชาวภูไทกะป๋องควรจะได้อพยพด้วย ประกอบกับได้ทราบจากพี่น้องซึ่งอพยพมาอยู่แล้วได้กลับไปเยี่ยมบ้านเดิมทางฝั่งซ้ายว่า ภูไทที่ไปอยู่ก่อน ทางบ้านเมืองท่านให้เลือกที่อยู่ที่ตั้งเมืองตามความพอใจ จึงได้เตรียมการอพยพไว้ ยังไม่ทันจะได้อพยพท่านก็ได้ถึงแก่กรรมเสียก่อน ณ เมืองกะป๋อง ท้าวราชนิกูลผู้เป็นลูกจึงได้พาครอบครัวบ่าวไพร่อพยพข้ามแม่น้ำโขงทางเมืองนครพนม แล้วเดินทางเข้ามาตั้งหลักปักฐานในเขตเมืองสกลนคร

          ต่อมา ท้าวราชนิกูลและชาวภูไทบ้านพุ่มจึงได้ตระเวนออกหาทำเลที่เหมาะแก่การทำนา ซึ่งหากพบแล้วจะได้ตั้งเป็นบ้านภูไทแห่งใหม่ด้วย ชาวภูไทจึงได้เดินทางผ่านป่าดงไปทางตะวันออก ได้พบที่ลุ่มเหมาะแก่การทำนา ตรงกลางมีหนองน้ำอุดมไปด้วยปลา ทางทิศเหนือห้วยปลาหาง จึงเห็นพร้อมให้ตั้งเป็นบ้านเรือนขึ้น ณ ที่นั้นให้ชื่อว่า “บ้านหนองหอย” ภูไทกระป๋องเราได้ตั้งหลักฐานบ้านเมืองลงที่บ้านหนองหอยนี้เมื่อประมาณ พ.ศ. 2390  

          ฝ่ายกรมการเมืองสกลนครได้มาทำการเกลี้ยกล่อมให้ท้าวราชนิกูลพาราษฎรกลับไปอาศัยอยู่ที่เมืองสกลนครตามเดิม ท้าวราชนิกูลได้ขอยกบ้านหนองหอยขึ้นเป็นเมือง แต่กรมการเมืองสกลนครไม่ยอมทูลเกล้าฯ เสนอ ท้าวราชนิกูลจึงให้ท้าวสุพรหม บุตรชายไปร้องเรียนทางราชการ และอพยพราษฎรกลับมาที่บ้านหนองหอยอีกครั้งในปี พ.ศ.2399 ท้าวราชนิกูลกับท้าวสุพรหมจึงได้ขอร้องให้พระพิทักษ์เขตขันธ์ เจ้าเมืองหนองหาน ขอพระราชทานยกฐานะบ้านหนองหอยขึ้นเป็นเมือง ต่อมาในปี พ.ศ.2420 เจ้าเมืองหนองหานจึงมีใบบอกกราบบังคมทูลขอตั้งบ้านป่าเป้าเมืองไพร ในแขวงเมืองหนองหานเป็นเมืองวาริชภูมิ แล้วให้ท้าวสุพรหมเป็นพระสุรินทร์บริรักษ์ เป็นเจ้าเมืองวาริชภูมิขึ้นต่อเมืองหนองหาน แต่ภายหลังชาวภูไทบ้านหนองหอยก็ไม่ยอมอพยพไปอยู่ที่บ้านป่าเป้าเมืองไพร ทำให้เกิดปัญหาเรื่องสักเลก จนในที่สุดเมืองวาริชภูมิก็ถูกย้ายมาขึ้นต่อเมืองสกลนคร และต่อมาก็เปลี่ยนฐานะมาเป็นอำเภอวาริชภูมิเมื่อ พ.ศ.2445

          ในการย้ายครัวเรือนและราษฎรจากเมืองสกลนครมายังบ้านหนองหอยซึ่งเป็นที่ตั้งของชุมชนวาริชภูมิในปัจจุบันนั้น ชาววาริชภูมิเล่าสืบต่อกันมาว่า ครั้นขบวนอพยพมาถึงธารน้ำแห่งหนึ่ง ด้านหลังมีภูเขาใหญ่มีหน้าผาสูงชัน จึงได้ขบวนหยุดและตั้งค่ายพักขึ้น และพาไพร่พลจำนวนหนึ่งสร้างศาลเพียงตาขึ้นหลังหนึ่งด้านหลังค่าย เมื่อเห็นผู้คนหายเหนื่อยแล้ว จึงนำผู้คนบ่าวไพร่พร้อมใจกันอธิษฐาน อัญเชิญเทพยดาฟ้าดิน เจ้าภูผา เจ้าป่าเจ้าเขา ให้มาสถิตอยู่ ณ ศาลนั้น ขอให้เป็นกำแพงคุ้มกันขบวนของชาวภูไทตลอดไป ครั้นทำพิธีเสร็จได้พร้อมกันหาดอกไม้ธูปเทียนบูชา จัดสำรับกับข้าวคาวหวานเลี้ยงและเรียกชื่อเทพสถิตอยู่ ณ ศาลแห่งนี้ว่า “เจ้าปู่มเหสักข์” ผู้คนในขบวนต่างก็ร่วมฉลองเป็นการใหญ่ จากนั้นเมื่อขบวนอพยพได้รอนแรมไปถึงที่ใดก็จะตั้งศาลเจ้าปู่ขึ้นไว้ เคารพบูชามิได้ขาด ทำให้ขบวนอพยพของชาวภูไทสามารถเอาชนะภัยธรรมชาติและอุปสรรคต่างๆ จนมาตั้งบ้านเรือนที่บ้านหนองหอยได้ในที่สุด

          ในสมัยของท้าวสุพรหมได้เป็นเจ้าเมืองวาริชภูมิได้อัญเชิญเจ้าปู่มเหสักข์ลงมาจากป่าเขา เพื่อให้มาสถิตอยู่ใกล้กับชุมชน จึงตั้งศาลเจ้าปู่ขึ้นบริเวณที่ดอนซึ่งเป็นป่ารกทึบ ห่างจากตัวเมืองประมาณ 1 กิโลเมตร และใช้สถานที่แห่งนี้เป็นที่จัดพิธีเซ่นสังเวยเจ้าปู่มเหสักข์ทุกปี แต่ภายหลังศาลเจ้าปู่แห่งนี้ไม่สะดวกสำหรับชาววาริชภูมิ ที่ต้องการไปไหว้เจ้าปู่เพราะเป็นป่ารกทึบ จึงได้สร้างศาลจำลองขึ้นหลังหนึ่งไว้ที่บ้านเจ้าจ้ำ (นายทองเพื่อน เหมะธุลิน) ก่อนที่จะมีการย้ายศาลมาสร้างที่บริเวณวัดร้างกลางชุมชนวาริชภูมิ ซึ่งเป็นศาลขนาดใหญ่มั่นคงถาวรในปัจจุบัน

          ชาวภูไทวาริชภูมิมีความเชื่อในความศักดิ์สิทธิ์ของเจ้าปู่มเหสักข์อย่างมาก สามารถให้พรหรือช่วยเหลือผู้มาบนบานศาลกล่าวได้แทบทุกเรื่อง โดยเฉพาะเรื่องการสอบเข้าทำงาน คุณลุงวีรศักดิ์ สุทธิอาจ ให้สัมภาษณ์ว่า “ท่านศักดิ์สิทธิ์นะ ไปบนบานท่านก็ได้ มาอยากเป็นครู สอบครูสอบอะไรก็ได้เป็น” สอดคล้องกับคำสัมภาษณ์ของคุณลุงพินัย บุญรักษา ที่เล่าว่า

          “พอเราไปอยู่ไหนต้องยกมือไหว้ท่าน เวลาเขาไปสอบครู บรรจุนี่ มาหาท่านไม่เคยพลาด ก็คือว่าเขาไปสอบราชการ มาบนบานไว้เป็นกลม ถ้าเราได้ก็มาเลี้ยงท่านเป็นกลม เป็นตัวนั่นล่ะ เรียกว่าเป็นกลม

          และยังเชื่อว่าเจ้าปู่สามารถคุ้มครองป้องกันภัยต่างๆ คุ้มครองป้องกันอัคคีภัยไหม้บ้าน

          นอกจากนี้ ยังมีผู้ปรากฏนิมิตร่างของเจ้าปู่เป็นสัตว์ต่างๆ เช่น เสือลายพาดกลอน งูใหญ่ สุนัขสีขาว หรือปรากฏในความฝันว่าเป็นชายร่างใหญ่ ผิวดำ เสียงดัง มีอำนาจ แต่งกายนักรบโบราณ มือถือดาบ หน้าอิ่มเป็นลักษณะผู้ดี มีสกุลเป็นชั้นเจ้าตามบุคลิกของผู้นำที่สามารถ จนนำมาสู่การปั้นรูปเคารพเจ้าปู่มเหสักข์ขึ้นมาประดิษฐานไว้ภายในศาลหลังปัจจุบัน

          การคารวะบวงสรวงเซ่นไหว้เจ้าปู่มเหสักข์นั้น เดิมทีจะมีการบวงสรวงเซ่นไหว้ทุกๆ 3 ปี หรือที่ชาวภูไทเรียกว่า “สามปีครอบ” คำว่า “ครอบ” ในที่นี้หมายถึง การบอกกล่าวหรือการทำพิธีคารวะ การเซ่นไหว้จะต้องเลี้ยงด้วยเนื้อควาย คุณลุงไพฑูรย์ แก้วคำแสน ซึ่งเป็นผู้ดูแลศาลเจ้าปู่มเหสักข์ในปัจจุบันเล่าว่า เมื่อถึงเวลาเลี้ยงเจ้าปู่จะมีควายเดินไปที่ศาลเอง เพื่อให้ทำการฆ่าเซ่นไหว้ ซึ่งเป็นเรื่องที่แปลกมาก และเล่าสืบต่อกันมาแต่ครั้งปู่ย่าตายาย แต่ทุกวันนี้หลังย้ายศาลเข้ามาในเมืองต้องหาวัวหรือควายมาเอง โดยนำมาถวายต่อหน้าศาล แล้วจึงนำไปฆ่า แล้วก็ปรุงเป็นเมนูลาบ ก้อยและต้มมาถวายเจ้าปู่มเหสักข์

          ส่วนการคารวะบูชาหรือบนบานศาลกล่าวเจ้าปู่มเหสักข์นั้นสามารถทำได้ตลอดไป เมื่อได้รับผลสำเร็จตามที่มาขอพรบนบานแล้ว ชาวภูไทวาริชภูมิก็จะนำ “พาข้าวแดง พาแกงเฮ่อ” มาถวายเจ้าปู่มเหสักข์ คำว่า “พาข้าวแดง พาแกงเฮ่อ” นั้น หมายถึง สำรับกับข้าวที่ต้องมีลาบดิบและแกงหรือต้มร้อนๆ (เฮ่อ-ฮ้อน) พร้อมด้วยข้าวเหนียวมาทำการคารวะเป็นการขอบคุณเจ้าปู่มเหสักข์ บางคนที่บนบานเรื่องสำคัญๆ ก็จะนิยมแก้บนด้วยวัวหรือควายเป็นตัว

          ต่อมาวิถีชีวิตของชาวภูไทวาริชภูมิได้เปลี่ยนแปลงไปตามสภาพบริบทของสังคมไทย ชาววาริชภูมิจึงกำหนดเอาวันที่ 6 เมษายนของทุกปี ซึ่งเป็นวันหยุดราชการเป็นวันประกอบพิธีเลี้ยงเจ้าปู่หรือคารวะเจ้าปู่มเหสักข์ ซึ่งในวันดังกล่าวก็จะมีชาวภูไทวาริชภูมิทยอยกันนำ “พาข้าวแดง พาแกงเฮ่อ” พร้อมด้วยเนื้อสด เหล้าและพวงมาลัย มาถวายสักการะเจ้าปู่มเหสักข์ตั้งแต่เช้าตรู่จนถึงเที่ยงวัน จากนั้นก็จะมีการแสดงมหรสพต่างๆ สมโภชตลอดวันจนถึงกลางคืน ถือเป็นงานประจำปีของท้องถิ่นไปโดยปริยาย

          ภายหลังทางเทศบาลตำบลวาริชภูมิจึงได้จัดงาน “ภูไทรำลึกวาริชภูมิ” ขึ้นในวันที่ 6 เมษายนของทุกปีเพื่อให้สอดคล้องกับงานคารวะเจ้าปู่มเหสักข์ เพื่อแสดงออกซึ่งวัฒนธรรมที่เป็นเอกลักษณ์ของตัวเอง เช่น วัฒนธรรมการแต่งกายภูไทถิ่น วัฒนธรรมการนับถือหลักเมือง แต่ละปีจะมีการจัดงานภูไทรำลึก ซึ่งเป็นการคารวะเจ้าปู่มเหสักข์ที่นำโดยนายอำเภอวาริชภูมิ ที่จะนำข้าราชการและประชาชนชาววาริชภูมิมาทำการคารวะเจ้าปู่มเหสักข์หลังจากเสร็จพิธีวันรำลึกพระบรมราชจักรีวงศ์ที่หอประชุมของอำเภอ ในช่วงเย็นก็จะมีการฟ้อนรำถวายเจ้าปู่มเหสักข์ และผู้ที่มาร่วมงานจะแต่งตัวในชุดภูไทหรือภูไทประยุกต์ ลูกหลานชาววาริชภูมิที่ย้ายถิ่นฐานหรือไปทำงานต่างจังหวัด จะทราบว่ามีงานประเพณีดังกล่าวในวันที่ 6 เมษายนของทุกปี โดยไม่ต้องบอกกล่าว และจะเดินทางกลับมาร่วมงานทุกปี ซึ่งเป็นการแสดงถึงการสืบทอดวัฒนธรรมประเพณีของชาวภูไทวาริชภูมิตลอดมา

          งานคารวะเจ้าปู่มเหสักข์ของชาวภูไทวาริชภูมิจึงถือเป็นประเพณีท้องถิ่นที่แสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์ของชาวภูไทกับสิ่งเหนือธรรมชาติ และแสดงให้เห็นถึงความสมัครสมานสามัคคีของชาวภูไทวาริชภูมิ ดังที่คุณพจนวราภรณ์  ขจรเนตรวณิชกุล นักวิชาการศึกษา สถาบันภาษา ศิลปะและวัฒนธรรม มหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร อธิบายว่า งานคารวะเจ้าปู่มเหสักข์ของชาวภูไทวาริชภูมิแสดงออกให้เห็นถึงความสมัครสมานสามัคคีของชาววาริชภูมิ ที่มีความเป็นชาติพันธุ์ของตัวเอง มีความเหนียวแน่น มีความสมัครสมานสามัคคี และก็ลูกหลานเกิดความภาคภูมิใจในท้องถิ่น ควรที่จะได้รับการสืบสานต่อไป


บรรณานุกรม

ประเพณีเลี้ยงผีมเหสักข์ ชาวผู้ไทยวาริชภูมิ. http://www.prapayneethai.com/ประเพณีเลี้ยงผีมเหสักข์- ชาวผู้ไทยวาริชภูมิ, สืบค้นวันที่ 20 เมษายน 2561.

รัตติยา โกมินทรชาติ. การฟ้อนของชาวภูไท : กรณีศึกษาหมู่บ้านวาริชภูมิ อำเภอวาริชภูมิ จังหวัดสกลนคร. วิทยานิพนธ์ศิลปศาสตรมหาบัณฑิต จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, 2549.

สพสันติ์ เพชรคำ. ประวัติศาสตร์ท้องถิ่นสกลนคร. สกลนคร : สถาบันภาษา ศิลปะและวัฒนธรรมมหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร, 2560.

สพสันติ์ เพชรคำ. “ภูไทกะป๋อง : ประวัติศาสตร์ท้องถิ่นของกลุ่มชาติพันธุ์ภูไทในลุ่มน้ำโขงตอนล่าง”. ใน วิถีสังคมมนุษย์. ปีที่ 1 ฉบับพิเศษ มกราคม-มิถุนายน 2556.

สัมภาษณ์

1. นายไพฑูรย์ แก้วคำแสน อายุ 50 ปี บ้านเลขที่ 151 หมู่ที่ 1 ตำบลวาริชภูมิ อำเภอวาริชภูมิ จังหวัดสกลนคร, สัมภาษณ์วันที่ 6 เมษายน 2561.

2. นายวีรศักดิ์ สุทธิอาจ อายุ 59 ปี บ้านเลขที่ 89 หมู่ที่ 16 ตำบลวาริชภูมิ อำเภอวาริชภูมิ จังหวัดสกลนคร, สัมภาษณ์วันที่ 6 เมษายน 2561.

3. นายพินัย บุญรักษา อายุ 61 ปี บ้านเลขที่ 22 หมู่ที่ 16 ตำบลวาริชภูมิ อำเภอวาริชภูมิ จังหวัดสกลนคร, สัมภาษณ์วันที่ 6 เมษายน 2561.

4. นายพจนวราภรณ์  ขจรเนตรวณิชกุล อายุ 26 ปี สถาบันภาษา ศิลปะและวัฒนธรรม มหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร จังหวัดสกลนคร, สัมภาษณ์วันที่ 6 เมษายน 2561.