ตักบาตรดอกไม้

25169 ครั้ง |

ชื่อเรียกอื่น : ตักบาตรดอกเข้าพรรษา
เดือนที่จัดงาน : กรกฎาคม,สิงหาคม
เวลาทางจันทรคติ : วันแรม 1 ค่ำเดือน 8 (หรือวันแรม 1 ค่ำ เดือน 8 หลัง ในปีอธิกมาส)
สถานที่ : วัดพระพุทธบาทราชวรมหาวิหาร
ภาค / จังหวัด : ภาคกลาง
: สระบุรี
ประเภท : ประเพณีตามเทศกาล หรือประเพณี 12 เดือน,ประเพณีเกี่ยวกับการเฉลิมฉลองและเพื่อสิริมงคล
ประเพณีที่เกี่ยวข้อง :
คำสำคัญ : ตักบาตรดอกไม้,พระพุทธบาท,ดอกเข้าพรรษา,วันเข้าพรรษา
ผู้เขียน : สุพิชชา นักฆ้อง
วันที่เผยแพร่ : 25 ก.พ. 2559
วันที่อัพเดท : 20 ก.ย. 2560

ประเพณีตักบาตรดอกไม้ วัดพระพุทธบาทราชวรมหาวิหาร จังหวัดสระบุรี

“พระพุทธบาทจังหวัดสระบุรี” เป็นหนึ่งในโบราณปูชนียสถานสำคัญของไทย ปัจจุบันประดิษฐานอยู่ภายในมณฑปประธานของวัดพระพุทธบาท พระอารามหลวงชั้นเอก ชนิดราชวรมหาวิหาร ต.ขุนโขลน อ.พระพุทธบาท จ.สระบุรี บริเวณเชิงเขา “สุวรรณบรรพต” หรือ “เขาสัจจพันธคีรี” หรือ “เขาโพธิ์ลังกา”

ตามคติความเชื่อแล้ว รอยพระพุทธบาทของพระพุทธเจ้าถือเป็นอุเทสิกเจดีย์ (สิ่งที่สร้างขึ้นโดยเจตนาอุทิศแก่พระพุทธเจ้าหรือแทนองค์พระพุทธเจ้า เช่น เจดีย์ บัลลังก์ รอยพระพุทธบาท พระพุทธรูป พระพิมพ์ เป็นต้น) อย่างหนึ่ง มีมาแต่โบราณภายหลังพุทธกาลไม่นานนัก โดยสร้างขึ้นเพื่ออุทิศแด่พระพุทธเจ้า และเป็นตัวแทนของพระพุทธเจ้าสำหรับพุทธศาสนิกชนสักการะบูชา เนื่องจากสมัยก่อนชมพูทวีปไม่นิยมสร้างพระพุทธรูป จนอิทธิพลกรีกเข้าถึงชมพูทวีปจึงเริ่มสร้างพระพุทธรูปที่เป็นภาพเหมือนบุคคล ซึ่งจะคล้ายเทวรูปของกรีกมาก หรือที่เรียกว่าพระพุทธรูปสมัยคันธาระ

ตามคติของลังกาเชื่อกันว่า สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงประทับรอยพระพุทธบาทไว้ด้วยพระองค์เอง แสดงถึงการเสด็จเยือนสถานที่นั้นๆ ดังนั้นในกรณีนี้ รอยพระพุทธบาทจึงเป็นบริโภคเจดีย์ (สถานที่เกี่ยวเนื่องกับเหตุการณ์สำคัญในพุทธประวัติ เช่น สถานที่ประสูติ ตรัสรู้ แสดงปฐมเทศนา และปรินิพพาน เป็นต้น) โดยเชื่อว่ารอยพระพุทธบาทที่พระพุทธเจ้าได้เสด็จไปทรงประทับไว้ด้วยพระองค์เองมีอยู่ 5 แห่ง ซึ่งก็มีตำนานที่แตกต่างกันออกไป คือ (1) เขาสุวรรณมาลิก ประเทศศรีลังกา (2) เขาสุวรรณบรรพต หรือเขาสัจจพันธ์คีรี จังหวัดสระบุรี (3) เขาสุมนกูฏ ประเทศศรีลังกา (4) โยนกปุระ หรือเมืองโยนก (5) หาดทรายในลำน้ำนัมมทานที ประเทศอินเดีย

ดังนั้นรอยพระพุทธบาทจังหวัดสระบุรีจึงเป็นรอยพระพุทธบาทสำคัญตามคติความเชื่อของชาวพุทธ ประวัติการค้นพบรอยพระพุทธบาทจังหวัดสระบุรีโดยสังเขปคือ พ.ศ.2161 เมืองสระบุรีมีใบบอกเข้ามายังกรุงศรีอยุธยาว่ามีผู้พบรอยพระพุทธบาทบนเขาสุวรรณบรรพต พระเจ้าทรงธรรมจึงเสด็จพระราชดำเนินยังสระบุรีด้วยเรือพระที่นั่งชัยพยุหบาตราเพื่อทอดพระเนตร โดยมีพรานบุญเป็นผู้นำทาง เมื่อเสด็จฯ ถึงและทรงได้ทอดพระเนตรก็ทรงโสมนัส และโปรดอุทิศถวายที่ดินป่าโดยรอบกว้างด้านละ 1 โยชน์ (ประมาณ 16 กิโลเมตร) แก่พระพุทธศาสนา แล้วโปรดให้สร้างมณฑปสวมรอยพระพุทธบาท สร้างพระอุโบสถและพระอารามขึ้น แล้วให้ฝรั่งตัดถนนหลวงกว้าง 10 วา ยาวตั้งแต่เชิงเขาสุวรรณบรรพตจนถึงตำบลท่าเรือ และโปรดให้สร้างพระตำหนักท่าสนุก หรือท่าเจ้าสนุก เพื่อเป็นที่ประทับแรมเมื่อเวลาเสด็จมานมัสการพระพุทธบาท การก่อสร้างพระพุทธบาทและศาสนสถานอื่นๆ โดยรอบใช้เวลา 4 ปี จึงแล้วเสร็จ (กองวรรณกรรมและประวัติศาสตร์ 2516 : 2-3 ; มูลนิธิสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา 2554 : 134)

ส่วนตำนานพระพุทธบาท (กรมศิลปากร 2517 ; ฝอยฝา พันธุฟัก 2542 ; พระมหานาควัดท่าทราย 2503) กล่าวว่าในรัชสมัยของพระเจ้าทรงธรรม กษัตริย์กรุงศรีอยุธยา พระสงฆ์ไทยจำนวนหนึ่งเดินทางไปประเทศลังกาเพื่อนมัสการพระพุทธบาทที่เขาสุมนกูฏ และได้รับคำถามจากพระสงฆ์ลังกาว่า เหตุใดจึงดั้นด้นเดินทางมาถึงลังกา ในเมื่อพระพุทธบาทในประเทศไทยก็มีประดิษฐานอยู่ที่เขาสุวรรณบรรพต เมื่อพระสงฆ์ไทยเดินทางกลับมาถึงกรุงศรีอยุธยาแล้วจึงกราบทูลพระเจ้าทรงธรรมเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าว พระองค์จึงโปรดฯ ให้มีตราสั่งไปยังหัวเมืองเพื่อสำรวจรอยพระพุทธบาท

เมื่อเจ้าเมืองสระบุรีทราบความจากพรานบุญ (พรานบุญคนนี้เป็นพรานคนเดียวกับในตำนานกำเนิด “บ่อพรานล้างเนื้อ” ที่ตั้งอยู่ไม่ไกลจากพระพุทธบาทจังหวัดสระบุรี โดยตำนานกล่าวถึงช่วงก่อนที่พรานบุญจะค้นพบรอยพระพุทธบาท ดังนี้ นายพรานผู้หนึ่งชื่อบุญ เที่ยวยิงเนื้อในแคว้นปะรัตนครราชธานี นายพรานนี้ถือสัตย์มั่นคง จะยิงตัวดำ ถ้าตัวแดงขวางก็ไม่ยิง ถ้าจะยิงตัวเมีย ตัวผู้มาขวาง ก็ไม่ยิง วันหนึ่งนายพรานยิงเนื้อตาย พบพระฤๅษีจะลงไปสรงน้ำที่ท่าวัด นายพรานจึงสั่งพระฤๅษีว่าช่วยบอกพระคงคาให้ไหลขึ้นมาจะล้างเนื้อ พระฤๅษีจึงว่าตนเองสวดมนต์ภาวนาอยู่ทุกวันค่ำเข้ามิได้ขาดตั้งแต่หนุ่มจนแก่ ก็ไม่เคยเรียกพระคงคาไหลขึ้นมาบนเขาได้ ต้องลงไปอาบน้ำถึงท่าวัด แต่นายพรานฆ่าสัตว์อยู่เป็นนิจจะสั่งให้พระคงคาไหลขึ้นมาหาถึงบนเขาได้อย่างไร นายพรานยังยืนกรานให้ไปบอกพระคงคา เมื่อพระฤๅษีลงไปที่ท่าวัดจึงได้บอกแก่พระคงคาตามสั่งของพราน พระคงคาก็ได้ไหลขึ้นไปบริเวณที่นายพรานยิงเนื้อไว้ นายพรานจึงยกเอาก้อนศิลากั้นน้ำไว้ให้เป็นขอบคันบ่ออยู่ และได้ล้างเนื้อในบ่อนั้น จนกลายเป็น "บ่อพรานล้างเนื้อ" ในปัจจุบัน) ว่า ครั้งหนึ่งเคยเที่ยวล่าสัตว์ป่าบริเวณเชิงเขาสุวรรณบรรพต ในเขตเมืองสระบุรี และได้ยิงถูกเนื้อตัวหนึ่งบาดเจ็บแต่วิ่งหายไปในพุ่มไม้ใกล้เชิงเขา ต่อมาครู่หนึ่งมันวิ่งออกมาด้วยอาการปรกติ ไม่มีบาดแผลใดๆ ยังความพิศวงแก่พรานบุญยิ่งนัก จึงเข้าไปดูที่พุ่มไม้นั้นก็พบรอยเท้าคนขนาดใหญ่อยู่ในศิลา ยาวประมาณศอกเศษ มีน้ำขังอยู่ข้างใน เข้าใจว่าน้ำในรอยเท้านี้เองที่ศักดิ์สิทธิ์ สามารถรักษาโรคภัยไข้เจ็บได้ จึงตักน้ำนั้นขึ้นมาลูบตามเนื้อตามตัวตน พลันกลากเกลื้อนและแผลตามผิวหนังก็อันตรธานหายสิ้น พรานจึงมั่นใจว่ารอยเท้าขนาดใหญ่นี้คงเป็นรอยพระพุทธบาท จึงไปแจ้งต่อเจ้าเมืองสระบุรี เมื่อเจ้าเมืองและกรมการเมืองมาตรวจสอบก็เห็นเป็นความจริงดังพรานบุญว่าทุกประการ จึงได้มีใบบอกแจ้งมายังเมืองหลวง

เมื่อพระเจ้าทรงธรรมเสด็จฯ ไปทอดพระเนตรก็ทรงโสมนัสอย่างยิ่ง และโปรดฯ ให้สร้างมหาเจดีย์สถาน มีมณฑปสวมรอยพระพุทธบาท มีสังฆารามของพระภิกษุสงฆ์ที่จะคอยดูแลพระพุทธบาท โปรดฯ ให้สร้างพระราชนิเวศน์ที่เชิงเขาพระพุทธบาทแห่งหนึ่งที่ท่าเจ้าสนุก ริมลำน้ำสัก สำหรับประทับเวลาเสด็จไปบูชา โปรดฯ ให้ฝรั่งฮอลันดาทำถนนจากท่าเรือขึ้นไปจนถึงเขาสุวรรณบรรพต เพื่อให้ราษฎรเดินทางไปมาได้อย่างสะดวก ทรงอุทิศที่หนึ่งโยชน์รอบรอยพระพุทธบาทถวายเป็นพุทธบูชา โปรดฯ ให้ชายฉกรรจ์ที่อาศัยอยู่ในเขตหนึ่งโยชน์นี้ทำหน้าที่ดูแลรักษาพระพุทธบาท บริเวณที่ทรงอุทิศได้นามว่า “เมืองปรันตปะ” เรียกกันทั่วไปว่า “เมืองพระพุทธบาท” และเกิดประเพณีเทศกาลนมัสการพระพุทธบาทกลางเดือน 3 และกลางเดือน 4 เป็นประจำทุกปี นับแต่บัดนั้นเป็นต้นมา (กรมศิลปากร 2517 ; ฝอยฝา พันธุฟัก 2542 ; พระมหานาควัดท่าทราย 2503)

เมืองพระพุทธบาทที่พระเจ้าทรงธรรมทรงตั้งขึ้นนั้นจัดเป็นเมืองชั้นจัตวาขึ้นกับกรุงศรีอยุธยา มีราษฎรอพยพเข้ามาพำนักอาศัยสร้างบ้านอยู่ในชุมชนแห่งนี้เรื่อยมาจนเป็นชุมชนขนาดใหญ่ คงเป็นเมืองตลอดมาจนถึงรัชกาลที่ 5 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้าฯ ให้จัดการปกครองหัวเมืองแบบใหม่ โดยตั้งเป็นมณฑลเทศาภิบาลขึ้นเมื่อ พ.ศ.2437 ยุบเมืองพระพุทธบาทเป็นอำเภอ ขึ้นกับเมืองสระบุรี ต่อมาเป็นกิ่งอำเภอพระพุทธบาทขึ้นกับอำเภอบ้านหมอ จังหวัดสระบุรี จนเมื่อวันที่ 6 มิถุนายน พ.ศ.2499 ได้มีพระราชกฤษฎีกาประกาศยกฐานะกิ่งอำเภอพระพุทธบาทขึ้นเป็นอำเภอพระพุทธบาทจนกระทั่งปัจจุบัน

พระอารามที่ประดิษฐานพระพุทธบาทหรือวัดพระพุทธบาทได้รับการดูแลรักษาเป็นอย่างดีนับแต่รัชกาลพระเจ้าทรงธรรมเป็นต้นมา มีการสร้างเสนาสนะถาวรวัตถุและบูรณปฏิสังขรณ์อาคารต่างๆ จนกระทั่งปัจจุบัน โดยเฉพาะการได้รับพระมหากรุณาธิคุณและการบำเพ็ญพระราชกุศลของพระมหากษัตริย์ไทยหลายพระองค์ (ดูรายละเอียดได้ใน คณะกรรมการฝ่ายประมวลเอกสารและจดหมายเหตุ 2544 : 97-101 ; ฝอยฝา พันธุฟัก 2542)

ประเพณีสำคัญของวัดพระพุทธบาท นอกจากประเพณีนมัสการรอยพระพุทธบาท (จัดปีละ 2 ครั้ง ตั้งแต่วันขึ้น 1 ค่ำ ถึง 15 ค่ำ เดือน 3 รวม 15 วัน และในวันขึ้น 8 ค่ำ ถึง 15 ค่ำ เดือน 4 รวม 8 วัน) และประเพณีแห่พระเขี้ยวแก้ว (จัดขึ้นในวันขึ้น 1 ค่ำ เดือน 4) แล้ว ยังมี “ประเพณีตักบาตรดอกเข้าพรรษา” ซึ่งเป็นประเพณีตักบาตรดอกไม้แบบท้องถิ่น

 

กำเนิดตักบาตรดอกไม้ในพุทธตำนาน

ความเป็นมาของการตักบาตรด้วยดอกไม้ เชื่อว่ามาจากพุทธตำนานที่กล่าวถึงในสมัยพุทธกาล มีเนื้อหาโดยสังเขปคือ (ประคอง นิมมานเหมินทร์ 2542 : 2255 ; คณะกรรมการฝ่ายประมวลเอกสารและจดหมายเหตุ 2544 : 168-172) พระเจ้าพิมพิสาร กษัตริย์แห่งกรุงราชคฤห์ ทรงโปรดปรานดอกมะลิมาก ในแต่ละวันจะรับสั่งให้นายสุมนะมาลาการ หรือนายมาลาการ นำดอกมะลิมาถวายถึงวันละ 8 กำมือ และต้องสนองพระอัธยาศัยของพระเจ้าพิมพิสารเพียงพระองค์เดียวเท่านั้น ซึ่งนายมาลาการก็ปฏิบัติหน้าที่เป็นอย่างดี พระเจ้าพิมพิสารทรงพอพระราชหฤทัยจึงพระราชทานบำเหน็จรางวัลข้าวของมีค่าแก่นายมาลาการจำนวนมาก

วันหนึ่งขณะที่นายมาลาการกำลังเก็บดอกมะลิ ได้พบเห็นพระพุทธเจ้าเสด็จออกบิณฑบาตพร้อมด้วยภิกษุสงฆ์จำนวนหนึ่ง นายมาลาการสังเกตเห็นฉัพพรรณรังสี (“ฉัพพรรณรังสี” คือสีที่แผ่ออกจากพระวรกายขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มี 6 สี คือ (1) สีนีละ - สีเขียวเหมือนดอกอัญชัน หรือสีน้ำเงิน (2) สีปีตะ – สีเหลืองเหมือนหรดาลทอง (3) สีโรหิตะ – สีแดงเหมือนแสงตะวันอ่อน (4) สีโอทาตะ – สีขาวเงินยวง (5) สีมัญเชฏฐะ – สีแสดเหมือนหงอนไก่ (6) สีประภัสสร - สีเลื่อมพรายเหมือนแก้วผลึก (คือสีทั้ง 5 ข้างต้นรวมกัน)) ฉายประกายรอบพระวรกาย จึงเกิดความเลื่อมใสศรัทธาพระพุทธองค์เป็นอย่างยิ่ง ตัดสินใจจะนำดอกมะลิที่มีไปถวายพระพุทธเจ้า พร้อมกันนั้นก็ตั้งจิตอธิษฐานว่า ข้าวของทุกสิ่งที่พระเจ้าพิมพิสารทรงมอบให้เพียงเพื่อยังชีพในภพนี้เท่านั้น แต่การนำดอกไม้ถวายบูชาแด่พระพุทธองค์สร้างอานิสงส์ทั้งภพนี้และภพหน้า หากถูกประหารชีวิตเพราะไม่ได้ถวายดอกมะลิก็ยินยอม

นายมาลาการจึงได้โปรยดอกมะลิไปยังพระพุทธองค์ 2 กำมือ เกิดอภินิหารดอกมะลิลอยวนอยู่เหนือพระเศียร 3 รอบ แล้วรวมกันเป็นเพดานลอยเป็นแพคุ้มกันแดดแก่พระพุทธองค์ เมื่อโปรยอีก 2 กำมือ ดอกมะลิก็ลอยวน 3 รอบอีก แล้วไปรวมเป็นแพอยู่ทางด้านปฤษฎางค์ นายมาลาการได้โปรยมะลิอีก 2 กำมือ ดอกมะลิก็ลอยวนเวียน 3 รอบ แล้วไปรวมเป็นแพอยู่ทางด้านซ้ายพระหัตถ์ของพระพุทธองค์ แล้วมะลิทั้ง 8 กำมือก็หันขั้วเข้าหาพระวรกายพระพุทธองค์ และหันกลีบออกภายนอก เว้นเป็นช่องไว้ทางด้านหน้าสำหรับพุทธดำเนินเท่านั้น

หลังจากนั้นนายมาลาการได้นำดอกมะลิหว่านโปรยบูชาพระพุทธองค์ เดินตามพระองค์ไป ซึ่งเป็นไปด้วยความปีติ 5 ประการ และได้เข้ายังพุทธรัศมีของพระองค์ จากนั้นจึงได้ก้มลงถวายบังคม ครั้นภรรยานายมาลาการทราบความก็เกรงกลัวว่าจะต้องโทษที่สามีไม่ปฏิบัติตามพระบัญชาของพระเจ้าพิมพิสาร จึงได้หลบหนีออกจากบ้านไป แต่หลังจากที่พระเจ้าพิมพิสารทรงทราบกลับพอพระราชหฤทัยเป็นอย่างยิ่ง ได้ปูนบำเหน็จรางวัลความดีความชอบแก่นายมาลาการ นับแต่นั้นมา ชีวิตของนายมาลาการก็อยู่อย่างมีความสุข เรื่องราวจากพุทธตำนานนี้เองทำให้เกิดการตักบาตรดอกไม้ และ “ประเพณีตักบาตรดอกไม้” เป็นประจำทุกปีในวันเข้าพรรษา จวบจนกระทั่งปัจจุบัน

 

ประเพณีตักบาตรดอกไม้ในประเทศไทย

ปัจจุบันการตักบาตรดอกไม้ในประเทศไทย ปรากฏเป็นประเพณีถือปฏิบัติในวันเข้าพรรษาที่วัดหลายแห่งในภาคกลาง เช่นที่วัดบวรนิเวศวิหาร กรุงเทพฯ วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม กรุงเทพฯ วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม กรุงเทพฯ วัดพระราม 9 กาญจนาภิเษก กรุงเทพฯ วัดจินดามณี จ.สิงห์บุรี (ประเพณีตักบาตรดอกไม้ของชาวไทยพวนที่บ้านแป้ง ต.บ้านแป้ง อ.พรหมบุรี จ.สิงห์บุรี เรียกตามภาษาท้องถิ่นว่า “ประเพณียายดอกไม้”)  และ ประเพณีตักบาตรดอกเข้าพรรษา วัดพระพุทธบาท อ.พระพุทธบาท จ.สระบุรี ประเพณีตักบาตรดอกไม้แบบ “ท้องถิ่น” ที่มีเอกลักษณ์โดดเด่นและมีชื่อเสียง โดยเฉพาะการนำ “ดอกเข้าพรรษา” หรือ “ดอกหงส์เหิน” (ลักษณะของดอกและเกสรเหมือนตัวหงส์ที่กำลังเหินบิน) มาทำบุญใส่บาตรพระภิกษุ

 

ดอกเข้าพรรษา ดอกหงส์เหิน

พืชหงส์เหินเป็นพืชดอกประเภทหัวที่มีมากกว่า 100 ชนิด อยู่ในสกุล Globba เผ่า (tribe) Globbeae จัดอยู่ในวงศ์ (family) Zingiberaceae  (ขิง, ข่า) วงศ์ย่อย (subfamily) Zingiberodeae มีถิ่นกำเนิดกระจายอยู่บริเวณแถบเอเชีย ตั้งแต่ประเทศอินเดียไปยังตอนใต้ของจีน ทางใต้และทางตะวันออกของฟิลิปปินส์ และนิวกินี โดยมีการกระจายตัวอยู่หนาแน่นที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยเฉพาะประเทศไทย (Larsen 1996) และพม่า (Kress et al., 2002) มีรายงานว่าสำรวจพบในประเทศไทยมากถึง 40 ชนิด ส่วนมากมีดอกสีเหลือง สีขาว และสีม่วง (ปิติมา พุ่มพวง 2557 : 4)

ลักษณะของพืชหงส์เหิน ส่วนลำต้นจะเป็นหัวอยู่ใต้ดิน การเจริญเติบโตต้องการแสงประมาณ 30% และเมื่อได้รับน้ำตั้งแต่เดือนมีนาคม ลำต้นเทียมจะเติบโตขึ้นมาเหนือผิวดิน (สูงประมาณ 1 ฟุต) และเริ่มออกดอกในเดือนพฤษภาคมถึงกันยายน หลังจากเดือนกันยายนการเจริญเติบโตจะเริ่มลดลง ส่วนของลำต้นเทียมจะเหี่ยวตาย คงเหลือส่วนลำต้นที่เป็นหัวอยู่ใต้ดิน พักตัวจนถึงเดือนมีนาคม จากนั้นก็จะเริ่มเจริญเติบโตเป็นต้นต่อไป (ปิติมา พุ่มพวง 2557 : 6)

วงจรการเจริญเติบโตของหงส์เหินเป็นแบบแตกกอ โดยมีจำนวนหน่อต่อกอเฉลี่ย 3-6 หน่อ ต้นพืชที่เจริญเติบโตจากหน่อที่มีขนาดใหญ่สามารถให้ดอกได้ต้นละ 1 ช่อดอก มีจำนวนช่อดอกต่อกอเฉลี่ย 1-6 ช่อ ต้นพืชที่ปลูกจากหัว 1 หัว ให้จำนวนหัวใหม่ต่อกอเท่ากับจำนวนหน่อต่อกอ เนื่องจากต้น 1 ต้นให้หัวใหม่ 1 หัว และได้หัวย่อย 10-18 หัวต่อกอโดยเฉลี่ย (วีระอนงค์ คำศิริ 2545)

หงส์เหินพบได้ทุกภาคในประเทศไทย มีชื่อเรียกแตกต่างกันไปตามท้องถิ่น เช่น กล้วยจ๊ะก่า (ตาก) กล้วยเครือดำ (เชียงใหม่) ว่านดอกเหลือง (เลย) ปุดนกยูง (ภาคใต้) และดอกเข้าพรรษา (สระบุรี) หงส์เหินเริ่มออกดอกตั้งแต่เดือนพฤษภาคมถึงกันยายน โดยจะออกมากในช่วงวันเข้าพรรษา ชาวบ้านจะตัดดอกหงส์เหินมาใช้ในประเพณีตักบาตรดอกไม้ในวันเข้าพรรษาที่วัดพระพุทธบาท จ.สระบุรี (อรวรรณ วิชัยลักษณ์ และสุนทรี เรืองศรี ม.ป.ป.) จึงเป็นที่มาของชื่อสามัญอีกชื่อหนึ่งว่า “ดอกเข้าพรรษา”  (ปิติมา พุ่มพวง 2557 : 4)

 

ตักบาตรดอกเข้าพรรษา : ข้อมูลจากทางการ

“ประเพณีตักบาตรดอกเข้าพรรษา” ประเพณีตักบาตรดอกไม้ของชาวพระพุทธบาทที่มีเอกลักษณ์ มีชื่อเสียงในระดับประเทศ และได้รับการโปรโมทว่าเป็น “ประเพณีหนึ่งเดียวในโลก” จัดขึ้นในวันเข้าพรรษาของทุกปี ณ วัดพระพุทธบาทราชวรมหาวิหาร และมักจะกระทำควบคู่ไปกับประเพณีถวายเทียนพรรษาพระราชทาน

วิถีปฏิบัติแต่เดิมโดยหลักคือ ชาวพระพุทธบาทจะทำบุญตักบาตรถวายภัตตาหารแด่พระภิกษุในตอนเช้าที่ศาลาการเปรียญวัดพระพุทธบาท ช่วงสายหลังจากทำบุญที่วัดแล้ว ชาวบ้านก็จะพากันออกจากบ้านหรือวัดไปเก็บ “ดอกเข้าพรรษา” หรือดอกหงส์เหินที่บานสะพรั่งเฉพาะช่วงเข้าพรรษาตามภูเขาต่างๆ ในพระพุทธบาท เพื่อนำไปทำบุญใส่บาตรพระสงฆ์ โดยเฉพาะที่เขาสุวรรณบรรพต ภูเขาที่ประดิษฐานรอยพระพุทธบาท และภูเขาอื่นๆ เช่น เขาช้างหรือเขาเซียน เทือกเขาวง เขาถ้ำวิมานจักรี เป็นต้น (ประคอง นิมมานเหมินทร์ 2542 : 2258)

          ดอกเข้าพรรษาที่อำเภอพระพุทธบาทมีอยู่ 3 สี ได้แก่ สีเหลือง สีขาว สีน้ำเงินหรือสีน้ำเงินปนม่วง ชาวบ้านมีความเชื่อเกี่ยวกับสีของดอกเข้าพรรษาที่นำไปใส่บาตรดังนี้

                   สีขาว – ความบริสุทธิ์แห่งพระพุทธศาสนา

                   สีเหลือง – สีแห่งพระสงฆ์

                   สีน้ำเงินหรือสีน้ำเงินปนม่วง – เป็นสีที่หายากที่สุด ชาวพระพุทธบาทเชื่อว่าการใส่บาตรด้วย ดอกเข้าพรรษาสีนี้จะได้บุญกุศลมากที่สุด

ประคอง นิมมานเหมินทร์ (2542 : 2256) ระบุว่าการออกจากบ้านไปหาเก็บดอกเข้าพรรษานั้น ชาวบ้านจะต้องหาฤกษ์ที่เป็นสิริมงคล ระหว่างเดินทางไปก็ร้องรำทำเพลงให้เกิดความสนุกสนานครื้นเครง มีการหยอกเย้าแหย่กันระหว่างกลุ่มหนุ่มสาว ครั้นเมื่อถึงที่หมายกลุ่มหนุ่มสาวจะพากันแยกออกไปเก็บที่หนึ่ง บรรดาคนเฒ่าคนแก่ก็จะแยกออกไปเก็บอีกที่หนึ่ง

เมื่อเก็บดอกเข้าพรรษามาแล้ว ชาวบ้านก็จะจัดดอกไม้รวมกับธูปเทียน แล้วมารวมตัวกันที่ลานวัดและยืนคอยอยู่ 2 ฟากถนน เปิดช่องว่างไว้สำหรับพระภิกษุสามเณร (ประคอง นิมมานเหมินทร์ 2542 : 2258) ชาวบ้านจะนำดอกเข้าพรรษาถวายพระสงฆ์สามเณรขณะกำลังเดินขึ้นไปทำพิธีเข้าพรรษาที่ “พระอุโบสถ” ภิกษุสามเณรจะนำดอกไม้ไปบูชาพระพุทธรูปภายในพระอุโบสถ (คณะกรรมการฝ่ายประมวลเอกสารและจดหมายเหตุ 2544 : 172)

ในขณะที่ข้อมูลจากเทศบาลเมืองพระพุทธบาทกล่าวว่าในสมัยก่อน พุทธศาสนิกชนพระพุทธบาทจะมาทำบุญตักบาตรที่วัดในวันอาสาฬหบูชา วันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 8 และนิยมทำบุญตักบาตรต่อเนื่องอีก 2 วัน รวมเป็น 3 วัน โดยในวันอาสาฬหบูชา ช่วงเช้าชาวบ้านจะนำอาหารคาวหวานไปทำบุญตักบาตรที่วัดพระพุทธบาท หลังจากนั้นบรรดาหนุ่มสาวจำนวนมากจะพากันเดินขึ้นไปบนภูเขาโพธิ์ลังกา (เขาสุวรรณบรรพต) และภูเขาพุกร่าง ภูเขาในอำเภอพระพุทธบาท เพื่อหาดอกเข้าพรรษา จากนั้นจะนำมาจัดมัดเป็นกำพร้อมเสียบดอกไม้ธูปเทียนเตรียมใส่บาตรในวันรุ่งขึ้นคือวันเข้าพรรษา วันแรม 1 ค่ำเดือน 8 เมื่อพระภิกษุรับบิณฑบาตแล้วจะนำดอกไม้ขึ้นไปบูชา “รอยพระพุทธบาท” เมื่อเดินลงกลับมาอีกทางหนึ่ง พุทธศาสนิกชนจะนำน้ำสะอาดใส่ภาชนะไปล้างเท้าพระสงฆ์ ด้วยเชื่อว่าเป็นการชำระล้างบาปของตนที่ได้กระทำมาให้หมดสิ้น ก่อนที่พระสงฆ์จะเข้าพระอุโบสถ ปวารณาตลอดไตรมาส 3 เดือน

 

ตักบาตรดอกเข้าพรรษา : การเปลี่ยนแปลงจากทางการ

จะเห็นได้ว่า เจตนาเดิมของชาวบ้านที่กระทำประเพณีนี้คือต้องการให้พระสงฆ์ที่กำลังขึ้นไปยังพระอุโบสถหรือมณฑปพระพุทธบาท เพื่ออธิษฐานปวารณาเข้าพรรษา ได้มีดอกไม้บูชาพระ ชาวบ้านเองก็พลอยได้บุญกุศลไปด้วย แต่ปัจจุบันหน่วยงานในพื้นที่ต่างเห็นพ้องโปรโมท “ประเพณีตักบาตรดอกเข้าพรรษา” ให้เป็นเอกลักษณ์ของชาวพระพุทธบาท มีหนึ่งเดียวในประเทศ เป็นการส่งเสริมการท่องเที่ยวและกระตุ้นเศรษฐกิจ จึงมีการปรับปรุงประเพณีให้มีพิธีการใหญ่ เป็น “เทศกาลประเพณี” ของจังหวัด ตัวอย่างคำขวัญและสโลแกนโปรโมทงาน เช่น “ครั้งหนึ่งในชีวิต ต้องตักบาตรดอกเข้าพรรษา ที่วัดพระพุทธบาทราชวรมหาวิหาร ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ เพื่อความเป็นสิริมงคลแก่ชีวิตสืบไป” “ประเพณีหนึ่งเดียวในไทย ใหญ่ที่สุดในโลก” “ประเพณีหนึ่งเดียวในโลก” เป็นต้น

เมื่อถึงวันเข้าพรรษาเวลาบ่าย (เวลาแน่นอนตามแต่จะกำหนด) มีการแห่แหนด้วยขบวนรถของแต่ละอำเภอที่ตกแต่งสวยงาม โดยขบวนจะเริ่มจากหน้าที่ว่าการอำเภอพระพุทธบาท นำหน้าขบวนรถด้วยขบวนกลองยาวและนาฏศิลป์ เมื่อขบวนเคลื่อนเข้าสู่ถนนสายคู่มุ่งหน้ายังวัดพระพุทธบาท สองฟากถนนจะมีประชาชนรอตักบาตรดอกเข้าพรรษาและรอชมขบวนรถ พระภิกษุสามเณรจะเดินเป็นแถว 2 แถวตามหลังขบวนรถเพื่อรับบิณฑบาตจากประชาชน

เมื่อถึงวัด พระภิกษุสามเณรจะขึ้นสู่มณฑปพระพุทธบาทเพื่อนำดอกเข้าพรรษาไปสักการะรอยพระพุทธบาท แล้วเดินกลับลงมายังพระอุโบสถเพื่ออธิษฐานเข้าพรรษา ช่วงที่พระภิกษุสามเณรเดินลงมาจากมณฑปก่อนสู่เข้าพระอุโบสถนี้ ประชาชนบางกลุ่มจะนำน้ำมา “ล้างเท้าพระ” ก่อนแยกย้ายกันกลับบ้าน

นอกจากนี้ เนื่องจากระยะหลังมีพุทธศาสนิกชนเข้าร่วมงานจำนวนมาก โดยเฉพาะที่มาจากต่างถิ่น ผู้จัดงานจึงได้เพิ่มจำนวนวันจัดงานประเพณี จากเดิม 1 วัน เป็น 3 วัน คือตั้งแต่วันขึ้น 14 ค่ำเดือน 8 ถึง วันแรม 1 ค่ำเดือน 8 (วันเข้าพรรษา)

 

ประเพณีตักบาตรดอกเข้าพรรษา วัดพระพุทธบาท พ.ศ.2559

ประเพณีตักบาตรดอกไม้ของวัดพระพุทธบาทจะกระทำไปควบคู่ไปกับประเพณีถวายเทียนพระราชทาน ก่อนการจัดงาน ในวันที่ 27 มิถุนายน 2559 มีการแถลงข่าวงานประเพณีตักบาตรดอกไม้และถวายเทียนพระราชทานประจำปี 2559 โดยมีนายวิเชียร พุฒิวิญญู ผู้ว่าราชการจังหวัดสระบุรี นายภคภูมิ บุตรโพธิ์ ท้องถิ่นจังหวัดสระบุรี นายชนัตถ์ นันทปัญญา รองนายกเทศมนตรี นายอรรถพล วรรณกิจ ผู้อำนวยการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สำนักงานลพบุรี และตัวแทนองค์การบริหารส่วนจังหวัดสระบุรี ร่วมกันแถลงข่าว ณ ห้องประชุมทานตะวัน ชั้น 4 ศาลากลางจังหวัดสระบุรี

วันที่ 12 กรกฎาคม 2559 นายเกียรติศักดิ์ ตรงศิริ รองผู้ว่าราชการจังหวัดสระบุรี นายภคภูมิ บุตรโพธิ์ ท้องถิ่นจังหวัดสระบุรี นายชนัตถ์ นันทปัญญา รองนายกเทศมนตรีเมืองพระพุทธบาท และนายชัชวาลย์ แสงประพาฬ ร่วมแถลงข่าวงานประเพณีตักบาตรดอกเข้าพรรษาและถวายเทียนพระราชทาน ประจำปี 2559 อีกครั้ง ณ โรงแรมสวิสโฮเต็ล เลอ คองคอร์ด กรุงเทพมหานคร

ทั้งนี้ ผู้จัดงาน (เทศบาลเมืองพระพุทธบาท) ได้ออกกำหนดการเพื่อประชาสัมพันธ์งาน “ประเพณีตักบาตรดอกเข้าพรรษาและถวายเทียนพระราชทาน ประจำปี 2559” อย่างเป็นทางการ ดังนี้

 

         

จากกำหนดการข้างต้นจะเห็นได้ว่างานประเพณีมี 3 วัน คือตั้งแต่วันที่ 18-20 กรกฎาคม 2559 หรือตั้งแต่วันขึ้น 14 ค่ำ เดือน 8 (ก่อนวันอาสาฬหบูชา 1 วัน) จนถึงแรม 1 ค่ำ เดือน 8 (วันเข้าพรรษา) พระภิกษุสามเณรออกรับบิณฑบาตดอกเข้าพรรษาทั้ง 3 วัน วันแรก 1 รอบ (รอบบ่าย หลังพิธีเปิด) วันที่สองและสามอีกวันละ 2 รอบ (รอบเช้า 9.00 น. และรอบบ่าย 15.00 น.) รวม 5 รอบ

นอกเหนือจากกำหนดการดังกล่าว ในวันก่อนวันอาสาฬหบูชา 1 วัน หรือในวันขึ้น 14 ค่ำ เดือน 8 จะมีการประกอบพิธีที่จัดเป็นการภายในท้องถิ่นพระพุทธบาท นั่นคือ พิธีบวงสรวงดวงพระวิญญาณสมเด็จพระเจ้าทรงธรรม และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในอำเภอพระพุทธบาท และพิธีถวายเทียนพระราชทาน ผู้เข้าร่วมพิธีส่วนใหญ่เป็นข้าราชการตั้งแต่ระดับจังหวัดมาจนถึงส่วนท้องถิ่น

จากการลงพื้นที่เก็บข้อมูลในวันอาทิตย์ที่ 17 กรกฎาคม 2559 (วันขึ้น 14 ค่ำ เดือน 8) พบว่ามีการจัด “พิธีบวงสรวงดวงพระวิญญาณสมเด็จพระเจ้าทรงธรรม” ณ พระบรมราชานุสรณ์พระเจ้าทรงธรรม หรือศาลสมเด็จพระเจ้าทรงธรรม ที่ตั้งอยู่ทางทิศใต้ของวัดพระพุทธบาท ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของเขาสุวรรณบรรพต บริเวณสามแยกถนนสุวรรณประทีปตัดกับถนนพระพุทธบาท-หนองโดน ติดกับโรงเจกวนอิมติ้ง โดยตั้งปะรำพิธีที่หน้าศาล ประกอบพิธีทั้งทางพุทธและพราหมณ์ ตกแต่งสถานที่ด้วยดอกเข้าพรรษาสีต่างๆ พิธีดังกล่าวมีขั้นตอนการประกอบพิธีดังนี้

เวลา 7.00 น.    เริ่มตั้งโต๊ะบวงสรวงในพิธีพราหมณ์ และวงดนตรีไทยจากวิทยาลัยนาฏศิลปลพบุรีเริ่มตั้งเครื่องดนตรี ข้าราชการระดับต่างๆ เริ่มทยอยเดินทางเข้ามาในปะรำพิธี

เวลา 8.00 น.    นายวิเชียร พุฒิวิญญู ผู้ว่าราชการจังหวัดสระบุรี ประธานในพิธี เดินทางมาถึง

เวลา 8.09 น.    ประธานในพิธีจุดธูปเทียน พระสงฆ์ 10 รูป เจริญพระพุทธมนต์ พราหมณ์เริ่มทำพิธีบวงสรวง (พราหมณ์จากโบสถ์พราหมณ์ข้างวัดสุทัศน์ กรุงเทพฯ) ประธานจุดธูปเทียนเครื่องทองน้อยและปักธูปเครื่องบวงสรวง พราหมณ์สวดชุมนุมเทวดา 3 บท อัญเชิญดวงพระวิญญาณและบวงสรวงดวงพระวิญญาณสมเด็จพระเจ้าทรงธรรม

เวลา 9.10 น.    พราหมณ์สวดลาเครื่องบวงสรวงสังเวย ประธานเจิม ปิดผ้า และคล้องพวงมาลัยพระบรมรูปพระเจ้าทรงธรรมภายในศาล ผู้ร่วมงานร่วมปิดทอง ถวายธูปเทียน ดอกไม้ จากนั้นเป็นการแสดงนาฏศิลป์ รำถวายพระพร เป็นอันเสร็จพิธี

หลังจากเสร็จพิธีบวงสรวงดวงพระวิญญาณสมเด็จพระเจ้าทรงธรรม ผู้ว่าราชการจังหวัดสระบุรีพร้อมข้าราชการในจังหวัด ได้เดินทางไปวัดพระพุทธบาทราชวรมหาวิหาร เพื่อประกอบพิธีถวายเทียนพระราชทาน ภายในพระอุโบสถ เริ่มพิธีประมาณ 9.30 น. ส่วนข้าราชการระดับสูงของจังหวัด ของอำเภอ และของท้องถิ่น อีกส่วนหนึ่งได้แบ่งกลุ่มกันออกไปสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในอำเภอพระพุทธบาท 7 แห่ง ได้แก่ ศาลเจ้าพ่อเขาตก ศาลเสด็จปู่กุมภกรรณ ศาลเจ้าแม่ศรีนวล ศาลเจ้าหลวง ศาลเจ้าพ่อดำดง ศาลเจ้าพ่อพระกาฬ และศาลเจ้าแม่ทับทิม ก่อนจะเดินทางไปในพิธีถวายเทียนพระราชทาน

กำหนดการของพิธีถวายเทียนพระราชทาน ณ พระอุโบสถวัดพระพุทธบาทราชวรมหาวิหาร มีกำหนดการดังนี้

เวลา 9.30 น.    หัวหน้าส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ เอกชน ข้าราชการ พนักงาน และแขกผู้รับเชิญพร้อมกัน ณ พระอุโบสถวัดพระพุทธบาทราชวรมหาวิหาร เพื่อร่วมพิธี

เวลา 9.40 น.    ผู้ว่าราชการจังหวัดสระบุรี ประธานในพิธี  เดินทางมาถึงพระอุโบสถ ประธานในพิธีจุดธูปเทียนบูชาพระรัตนตรัย จุดธูปเทียนบูชาพระราชทาน

พระภิกษุสงฆ์ 10 รูป เจริญชัยมงคลคาถา ประธานในพิธีและแขกผู้มีเกียรติถวายผ้าอาบน้ำฝน พระสงฆ์อนุโมทนา ประธานในพิธีกรวดน้ำ รับพร   พระสงฆ์ถวายอดิเรก เป็นอันเสร็จพิธี

วันจันทร์ที่ 18 กรกฎาคม 2559 ซึ่งตรงกับวันอาสาฬหบูชา ขึ้น 15 ค่ำ เดือน 8 เริ่มมีการตระเตรียมงานตั้งแต่ช่วงสาย โดยเฉพาะผู้เข้าร่วมขบวนแห่ที่มาจากทุกอำเภอของสระบุรี จุดตั้งขบวนอยู่บริเวณที่ว่าการอำเภอพระพุทธบาทและโรงเรียนอนุบาลวัดพระพุทธบาท ริมถนนพระพุทธบาท-หนองโดน ส่วนปะรำพิธีและสถานที่ประกอบพิธีเปิดงานประเพณีอยู่ที่ลานหน้าศาลาเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา 5 ธันวาคม 2550 บริเวณต้นถนนสายคู่ที่เชื่อมกับถนนพระพุทธบาท-หนองโดน ปากทางเข้าสู่วัดพระพุทธบาท ใกล้กับที่ว่าการอำเภอ ภายในศาลาเฉลิมพระเกียรติฯ มีการจัดแสดงนิทรรศการเกี่ยวกับประเพณีตักบาตรดอกเข้าพรรษา และการเสด็จประพาสจังหวัดสระบุรีของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว

ถัดจากปะรำพิธีเข้าไปในถนนสายคู่เป็นเต็นท์ที่นั่งของตัวแทนจากอำเภอต่างๆ ในจังหวัดสระบุรี สองข้างถนนมีพุทธศาสนิกชนมารอยืนใส่บาตรดอกเข้าพรรษาและรอชมขบวนแห่อยู่พอสมควร โดยเฉพาะชาวบ้านที่อยู่ในละแวกนั้น เมื่อสุดถนนสายคู่ก่อนเข้าสู่วัดพระพุทธบาทจะเป็นซอยสมเด็จและลานปลูกต้นไม้ของทางวัด ในซอยสมเด็จนี้เองเริ่มมีพุทธศาสนิกชนจากต่างถิ่นมารอใส่บาตรหนาตา ต่างเริ่มจับจ่ายซื้อดอกเข้าพรรษาที่วางขายอยู่บริเวณลานปลูกต้นไม้ของทางวัด

ที่ลานนี้มีร้านขายดอกเข้าพรรษารวมถึงร้านค้าต่างๆ มาตั้งอยู่อย่างหนาแน่น ดอกเข้าพรรษาที่ขายมีทั้งสีขาว สีเหลือง และสีม่วง ได้รับการจัดเป็นช่อ ส่วนใหญ่จะขายเป็นชุด ชุดละ 9 ดอก ราคา 40 บาท ราคาดอกไม้เท่ากันทุกสี บางร้านขายพร้อมกับน้ำเปล่าสำหรับล้านเท้าพระ บางร้านก็ขายปะปนกับดอกกระเจียวซึ่งมีลักษณะคล้ายกับดอกเข้าพรรษา พืชทั้งสองชนิดจัดอยู่ในวงศ์ (family) เดียวกัน นอกจากนั้นยังมีร้านขายต้นเข้าพรรษาขนาดต่างๆ รวมถึงร้านขายเสื้อผ้า อาหารและของใช้อื่นๆ

เวลา 13.40 น. ผู้ว่าราชการจังหวัดสระบุรี ประธานในพิธีเดินทางมาถึงปะรำพิธีหน้าศาลาเฉลิมพระเกียรติฯ ชมการแสดงของโรงเรียนเทศบาลพระพุทธบาท การรำโทน (รำโทน เป็นการแสดงพื้นบ้านของชาวลพบุรี เกิดขึ้นในสมัยจอมพล ป. พิบูลสงคราม เป็นนายกรัฐมนตรี ช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ) ของวิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนีพระพุทธบาท

เมื่อเสร็จสิ้นการแสดง เวลาประมาณ 13.55 น. ขบวนแห่ก็เริ่มเคลื่อนผ่านหน้าปะรำพิธีที่ถนนสายคู่ เริ่มด้วยขบวนวงโยธวาทิตจากโรงเรียนพิบูลวิทยาลัย จ.ลพบุรี ต่อด้วยป้ายชื่องานประเพณี ขบวนพยุหยาตราสมเด็จพระเจ้าทรงธรรม ที่จำลองขบวนเสด็จเมื่อครั้งเสด็จฯ มาสักการะรอยพระพุทธบาท จัดโดยเทศบาลเมืองพระพุทธบาท ในขบวนมีข้าราชการระดับต่างๆ แสดงเป็นสมเด็จพระเจ้าทรงธรรมและพระบรมวงศ์ นั่งอยู่บนช้าง นำขบวนด้วยทหารและทหารม้า

หลังขบวนพยุหยาตราเป็นรถแห่เทียนพรรษาพระราชทาน ขบวนกลุ่มชาติพันธุ์ลาวแง้วจาก ต.หนองแก ที่แต่งกายด้วยชุดแสดงอัตลักษณ์ พร้อมถือป้ายรณรงค์ออกเสียงประชามติร่างรัฐธรรมนูญ ตามด้วยรถขบวนรถบุปผชาติจากทุกอำเภอในจังหวัดสระบุรีที่นำเสนอของดีของเด่นในอำเภอของตน ปิดท้ายด้วยขบวนของโรงเรียนสุธีวิทยา อ.พระพุทธบาท ที่มีทั้งวงโยธวาทิตและนักเรียนที่แต่งกายด้วยชุดไทย ทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ (นักเรียนแลกเปลี่ยน) 

ในช่วงนี้ พระภิกษุสามเณรได้ลงมาจากรถตู้แล้วเดินเข้าไปภายในลานปะรำพิธี เพื่อร่วมพิธีเปิดงาน “ประเพณีตักบาตรดอกเข้าพรรษา 2559” เวลาประมาณ 15.20 น. ประธานเปิดงานอย่างเป็นทางการและร่วมตักบาตรดอกเข้าพรรษา ขบวนพระภิกษุสามเณรที่ถือบาตรได้แบ่งเป็น 2 แถว พร้อมด้วยผู้ติดตามที่จะคอยถ่ายเทของจากบาตร เดินออกไปตามถนนสายคู่ตามขบวนของโรงเรียนสุธีวิทยา มุ่งหน้าสู่วัดพระพุทธบาท ชาวบ้านที่รออยู่สองข้างถนนใส่บาตรดอกเข้าพรรษา บางคนถวายพร้อมทั้งปัจจัย บางส่วนได้ล้างเท้าพระด้วยน้ำเปล่า ภาชนะใส่น้ำมีทั้งขันอะลูมิเนียม ขันพลาสติก และขวดพลาสติก

เมื่อพระภิกษุสามเณรเดินบิณฑบาตมาจนสุดถนนสายคู่ ก็มุ่งหน้าต่อยังซอยสมเด็จเพื่อที่จะเข้าสู่วัดพระพุทธบาท ในซอยสมเด็จที่เป็นถนน 2 ช่องการจราจรนี้ คลาคล่ำไปด้วยพุทธศาสนิกชนที่รอใส่บาตรและล้างเท้าพระจำนวนมาก ส่วนใหญ่แต่งกายด้วยเสื้อผ้าสีขาว จนเวลาประมาณ 18.10 น. ขบวนพระภิกษุสามเณรออกรับบาตรมาถึงวัดบริเวณประตูบันไดนาค จากนั้นก็ขึ้นสู่มณฑปพระพุทธบาททางบันไดนาค หรือทางด้านทิศตะวันตกของมณฑป รวมระยะทางเดินตักบาตรดอกเข้าพรรษาในวันนี้ทั้งสิ้นประมาณ 1 กิโลเมตร

เมื่อพระภิกษุสามเณรเข้าไปภายในมณฑปทางประตูด้านทิศตะวันตกแล้ว ก็ทำการสักการะรอยพระพุทธบาท เทปัจจัยที่พุทธศาสนิกชนได้ร่วมทำบุญลงไปในรอยพระพุทธบาท จากนั้นจึงเดินออกจากมณฑปทางประตูด้านทิศตะวันออกในเวลา 18.18 น. และลงบันไดด้านทิศตะวันออกหรือบันไดทางด้านประตูยักษ์ ในช่วงนี้ยังคงมีพุทธศาสนิกชนบางส่วนนั่งรอล้างเท้าพระ ก่อนที่ภิกษุสามเณรจะเข้าพระอุโบสถเพื่อทำวัตรเย็น

ส่วนตักบาตรดอกเข้าพรรษาในวันที่ 19 กรกฎาคม วันอาสาฬหบูชา และวันที่ 20 กรกฎาคม วันเข้าพรรษา ที่มีวันละ 2 รอบ (9.00 น. และ 15.00 น.) มีประชาชนจากต่างถิ่นเข้าร่วมตักบาตรดอกเข้าพรรษาและล้างเท้าพระจำนวนมาก พระภิกษุสามเณรเริ่มเดินออกจากวัดที่ประตูด้านทิศเหนือของฝั่งสังฆาวาสออกสู่ถนนมรรคาประสิทธิ์ ก่อนจะเลี้ยวขวาเข้าสู่ซอยสมเด็จเพื่อรับบาตรดอกเข้าพรรษาและให้พุทธศาสนิกชนล้างเท้าพระ แล้วจึงเข้าสู่วัดทางประตูบันไดนาค ขึ้นยังมณฑปพระพุทธบาทและพระอุโบสถ โดยมีรายละเอียดการประกอบพิธีเหมือนกับวันแรก ต่างกันเพียงในช่วงบ่ายของวันเข้าพรรษาที่เป็นรอบสุดท้ายของการออกรับบาตร พระภิกษุสงฆ์จะเข้าสู่พระอุโบสถเพื่อปวารณาเข้าพรรษา

 

ตักบาตรดอกไม้ : ข้อมูลและบางทัศนะจากชาวพระพุทธบาท

จากการสัมภาษณ์นางนวรัตน์ บัวเจริญ อายุ 69 ปี นางสาวนกน้อย วรพุทธพร อายุ 57 ปี และนางสุรีพร หลิ่นจุ้ย อายุ 46 ปี ชาวบ้านที่เกิดและเติบโตอยู่ในอำเภอพระพุทธบาท ปัจจุบันอาศัยและค้าขายอยู่ในตลาดนิคมสร้างตนเองหรือตลาดพระพุทธบาท ใกล้กับวัด ทำให้ได้ข้อมูลที่น่าสนใจดังนี้

ชาวพระพุทธบาทได้ประกอบประเพณีตักบาตรดอกเข้าพรรษามาโดยตลอด ต่อเนื่องมาเป็นร้อยๆ ปี ในสมัยก่อนทางวัดพระพุทธบาทเป็นผู้จัดงานประเพณี โดยมีการตักบาตรดอกเข้าพรรษาเพียงวันเดียวและรอบเดียว คือในวันเข้าพรรษา หรือวันแรม 1 ค่ำ เดือน 8 ช่วงบ่าย เวลาไม่แน่นอน แต่ส่วนใหญ่พระจะเริ่มออกรับบิณฑบาตประมาณ 15.00 น. เศษ ส่วนในวันก่อนหน้าคือวันอาสาฬหบูชานั้น จะมีเฉพาะงานถวายเทียนพรรษาพระราชทาน

ประชาชนที่เข้าร่วมงานหนาแน่นทุกปี มีทั้งคนในท้องที่และคนต่างถิ่น ส่วนใหญ่จะใส่ชุดไทย ผ้าไทย ไม่จำกัดสีสัน ผู้หญิงมักจะใส่ซิ่นและแต่งกายสวยงาม เนื่องจากจะมีแมวมองคอยหาสาวงามภายในงานเพื่อส่งเข้าประกวด “เทพีพระพุทธบาท” ที่จะจัดขึ้นในคืนวันนั้นภายในงานมหรสพ

ส่วนดอกเข้าพรรษา ชาวบ้านจะขึ้นไปเก็บบนเขาสุวรรณบรรพตเอง มีทั้งสีเหลือง ขาว และม่วง ในช่วงหลังเริ่มมีการปลูกกันมากขึ้น มีทั้งปลูกตามบ้านและปลูกเป็นสวนเพื่อจำหน่ายโดยเฉพาะ แต่ก็ยังมีชาวบ้านบางส่วนขึ้นเขาไปเก็บดอกไม้เอง แล้วจะใส่ดอกไม้ลงในตะกร้าหวายหรือขันเงินหรือขันอะลูมิเนียมเพื่อนำมาใส่บาตร

เส้นทางการเดินรับบาตรสมัยก่อนก็คล้ายคลึงกับในปัจจุบันคือบริเวณถนนที่เข้าสู่วัดหรือซอยสมเด็จ และเมื่อเดินถึงวัด พระก็จะเดินขึ้นสู่มณฑปพระพุทธบาททางบันไดนาค แล้วนำดอกเข้าพรรษาที่พุทธศาสนิกชนนำมาใส่บาตรไปสักการะรอยพระพุทธบาท หลังจากนั้นก็จะเดินลงทางบันไดประตูยักษ์ เพื่อเข้าสู่พระอุโบสถทำพิธีปวารณาเข้าพรรษาต่อไป

ส่วนการล้างเท้าพระมีทั้งที่ทำในช่วงใส่บาตรดอกเข้าพรรษาและช่วงที่พระเดินลงมาจากมณฑปก่อนเข้าสู่พระอุโบสถ แต่ส่วนมากชาวบ้านจะมารอล้างเท้าพระในช่วงที่พระเดินลงมาจากพระอุโบสถ โดยชาวบ้านจะนำน้ำเปล่าใส่ลงในขันเงินหรือขันอะลูมิเนียมขนาดใหญ่ แล้วใช้ขันเล็กอีกใบตักน้ำจากขันใหญ่เพื่อมาล้างเท้าพระ

จนเมื่อราว 10 กว่าปีที่แล้ว เมื่อมีเรื่องการท่องเที่ยวเข้ามาเกี่ยวข้อง ส่วนราชการโดยเฉพาะเทศบาลเมืองพระพุทธบาทจึงเข้ามาร่วมจัดงานประเพณีตักบาตรดอกเข้าพรรษาให้มีความยิ่งใหญ่มากขึ้น ดึงเอกลักษณ์ของประเพณีขึ้นมาประชาสัมพันธ์ให้เป็นงานระดับจังหวัด เป็นประเพณีที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว มีหนึ่งเดียวในประเทศ เริ่มมีการจัดขบวนแห่ยิ่งใหญ่ มีขบวนแห่เทพีเข้าพรรษา ขบวนรถบุปผชาติ แต่จะไม่มีขบวนรำและขบวนพระพุทธบาทจำลองดังเช่นปัจจุบัน (ในสมัยก่อนขบวนฟ้อนรำมีเฉพาะในงานสงกรานต์)

กระทั่งเมื่อ 3-4 ปีก่อน มีการเปลี่ยนแปลงการจัดประเพณีครั้งใหญ่ (ผู้ให้ข้อมูลระบุว่าเกิดจากการเปลี่ยนเจ้าอาวาสและการเข้ามาของวัดพระธรรมกาย) ขยายวันจัดงานออกไปเป็น 3 วัน การตักบาตรดอกเข้าพรรษาที่แต่ก่อนมีเพียงรอบเดียววันเดียว ก็มีหลายรอบหลายวันดังที่ปรากฏในปัจจุบัน มีการรณรงค์ให้ใส่ชุดขาวเข้าร่วมประเพณี มีการจัดขบวนแห่ใหญ่โตขึ้นมาก สมกับเป็นงานประเพณีของจังหวัดและของประเทศ

ในช่วงเช้ามีการตักบาตรข้าวสารอาหารแห้งพระภิกษุสามเณรจำนวนมากที่เดินรับบาตรเป็นแถวยาว (ในสมัยก่อน ช่วงเช้าชาวบ้านจะไปทำบุญตักบาตรกันที่วัด) ตอนสายและตอนบ่ายเป็นการตักบาตรดอกเข้าพรรษา ตอนกลางคืนมีขันโตกและมหรสพ (แต่ในปี 2559 ไม่มีการตักบาตรหมู่ในตอนเช้าและขันโตกในตอนเย็น ผู้ให้ข้อมูลตั้งข้อสังเกตว่าประเพณีตักบาตรดอกเข้าพรรษาปี 2559 มีกิจกรรมน้อยกว่า 3-4 ปีที่ผ่านมา อาจเนื่องจากวัดพระธรรมกายกำลังมีคดีความ)

ปัจจุบันดอกเข้าพรรษาที่นำมาขายภายในงานส่วนใหญ่พ่อค้าแม่ค้ารับมาจากสวน มีส่วนน้อยมากที่ยังเก็บมาจากบนเขา กลายเป็นเรื่องของธุรกิจมากกว่าการมีจิตศรัทธาขึ้นเขาไปเก็บดอกเข้าพรรษาเพื่อมาใส่บาตร

การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวชาวพระพุทธบาทส่วนใหญ่รู้สึกสูญเสียความเป็นเอกลักษณ์และความดั้งเดิมของประเพณี คนในท้องถิ่นจึงเข้าร่วมงานน้อยลงอย่างเห็นได้ชัด แต่ชาวบ้านส่วนหนึ่งก็ได้ประโยชน์จากการผันตัวเองไปเป็นผู้ขายดอกเข้าพรรษา

 

ขอขอบคุณ

นางนวรัตน์ บัวเจริญ, นางสาวนกน้อย วรพุทธพร, นางสุรีพร หลิ่นจุ้ย, และเทศบาลเมืองพระพุทธบาท


บรรณานุกรม

กรมศิลปากร. (2517). ประชุมพงศาวดาร ภาคที่ 7. พระนคร : กรมศิลปากร.

กองวรรณกรรมและประวัติศาสตร์. (2516). พระราชพงศาวดารฉบับพระราชหัตถเลขา เล่มที่ 2. กรุงเทพฯ : กรมศิลปากร.

คณะกรรมการฝ่ายประมวลเอกสารและจดหมายเหตุ. (2544). วัฒนธรรม พัฒนาการทางประวัติศาสตร์ เอกลักษณ์และภูมิปัญญา จังหวัดสระบุรี. กรุงเทพฯ : กรมศิลปากร.

นวรัตน์ บัวเจริญ, นกน้อย วรพุทธพร, และสุรีพร หลิ่นจุ้ย. (17 กรกฎาคม 2559). สัมภาษณ์. เลขที่ 117 ม.7 ต.ธารเกษม อ.พระพุทธบาท จ.สระบุรี.

ประคอง นิมมานเหมินทร์ (เรียบเรียง). (2542). “ตักบาตรดอกไม้ : ประเพณี.” ใน สารานุกรมวัฒนธรรมไทย ภาคกลาง. มูลนิธิสารานุกรมวัฒนธรรมไทย ธนาคารไทยพาณิชย์ : 2255-2258.

ปิติมา พุ่มพวง. (2557). “ความสัมพันธ์ทางพันธุกรรมของพืชสกุลหงส์เหินในประเทศไทยโดยใช้เทคนิคเอเอฟแอลพี.” วิทยานิพนธ์ปริญญาวิทยาศาสตรมหาบัณฑิต (พืชสวน) บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์.

ฝอยฝา พันธุฟัก (เรียบเรียง). (2542). “พระพุทธบาทจังหวัดสระบุรี.” ใน สารานุกรมวัฒนธรรมไทย ภาคกลาง. มูลนิธิสารานุกรมวัฒนธรรมไทย ธนาคารไทยพาณิชย์ : 4102-4106.

พระมหานาควัดท่าทราย. (2503). บุณโณวาทคำฉันท์. พระนคร : กรมศิลปากร.

มูลนิธิสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา. (2554). นามานุกรมพระมหากษัตริย์ไทย. กรุงเทพฯ : มูลนิธิสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา.

วีระอนงค์ คำศิริ. (2545). “วงจรการเจริญเติบโตของหงส์เหิน.” วิทยานิพนธ์ปริญญาวิทยาศาสตรมหาบัณฑิต (เกษตรศาสตร์ สาขาวิชาพืชสวน) บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยเชียงใหม่.

อรวรรณ วิชัยลักษณ์ และสุนทรี เรืองศรี. (ม.ป.ป.). หงส์เหิน (ดอกเข้าพรรษา). กรุงเทพฯ : สำนักส่งเสริมและฝึกอบรม มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์.

Kress, W. J., L. M. Prince, and K. J. Williams. (2002). “The phylogeny and a new classification of the gingers (Zingiberaceae) : evidence from molecular data.” Amer. J. Bot. 89 : 1682-1696.

Larsen, K. (1996). “A preliminary checklist of the Zingiberaraceae of Thailand.” Thai forest Bulletin (Botany), 24 : 35-49.