แห่หงส์ – ธงตะขาบ

6765 ครั้ง |

ชื่อเรียกอื่น :
เดือนที่จัดงาน : เมษายน
เวลาทางจันทรคติ : เดือน 5
สถานที่
ภาค / จังหวัด
ประเภท : ประเพณีของกลุ่มชาติพันธุ์,ประเพณีตามเทศกาล หรือประเพณี 12 เดือน
ประเพณีที่เกี่ยวข้อง :
คำสำคัญ : มอญ, สงกรานต์
ผู้เขียน : ธันวดี สุขประเสริฐ
วันที่เผยแพร่ : 1 ส.ค. 2559
วันที่อัพเดท : 5 ก.ย. 2559

แห่หงส์ – ธงตะขาบ

ตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา ชนชาติมอญได้อพยพเข้ามาพึ่งพระบรมโพธิสมภารของพระมหากษัตริย์ไทยอยู่เป็นระยะ ได้รับพระมหากรุณาธิคุณให้ตั้งรกรากและประกอบสัมมาชีพเป็นอย่างดี กระทั่งในสมัยรัชกาลที่ 2 ของกรุงรัตนโกสินทร์ มีการเกณฑ์แรงงานชาวมอญให้ไปช่วยสร้างป้อมปราการที่นครเขื่อนขัณฑ์ รวมทั้งการขุดคลองลัดหลวง เพื่อร่นระยะทางระหว่างพระนครกับปากน้ำ บริเวณนี้จึงเป็นชุมชนใหญ่ของชาวมอญที่มาพร้อมศาสนา ความเชื่อ ศิลปะ วัฒนธรรม และประเพณีประจำชาติไปโดยปริยาย

 

ตำนานการถวายธง

หนึ่งในประเพณีมอญที่น่าสนใจและยังคงได้รับการสืบสานมาจนปัจจุบันคือ “ประเพณีแห่หงส์ – ธงตะขาบ” ที่ถือปฏิบัติกันในช่วงเทศกาลสงกรานต์ โดยเป็นการนำธงตะขาบที่วิจิตรงดงามไปแขวนไว้ที่ด้านหลังของเสาหงส์หน้าเจดียสถานอันเป็นสัญลักษณ์ของวัดมอญ เพื่อแสดงให้ผู้คนทราบว่าบริเวณนั้นเป็นวัดหรือปูชนียสถาน ทั้งยังเป็นการถวายพุทธบูชาด้วยเช่นกัน

มีตำนานเล่าว่า ณ ดอยสิงคุตต์ เมืองย่างกุ้ง มีตะขาบยักษ์ตัวหนึ่งอาศัยอยู่และชอบจับช้างมากินเป็นอาหาร จนซากช้างกองสุมเต็มไปหมด วันหนึ่ง มีพ่อค้าจากต่างแดนผ่านมาพบซากช้างนี้ จึงอาศัยจังหวะที่ตะขาบยักษ์ออกไปหากิน คัดเลือกและขนงาช้างลงเรือสำเภาของตนไป เมื่อตะขาบยักษ์กลับมาเห็นก็โกรธมาก จึงไล่ตามพ่อค้านั้นลงไปในทะเล แต่กลับต้องพบกับปูยักษ์เจ้าทะเลขนาดมหึมา เจ้าตะขาบยักษ์สู้ไม่ได้จึงถูกปูยักษ์จับกินเป็นอาหาร ต่อมาในสมัยพุทธกาล ตปุสสะและภัลลิกะ พ่อค้าจากอุกกลชนบท ได้พบกับพระพุทธเจ้าและได้แสดงตนเป็นอุบาสก พระพุทธเจ้าจึงประธานพระเกศาธาตุให้ทั้งสองคน ครั้นเมื่อกลับมาถึงบ้านเมืองของตนแล้ว ก็ได้เสาะหาสถานที่ก่อสร้างเจดีย์บรรจุเกศาธาตุ จนมาสรุปที่ดอยสิงคุตต์ของตะขาบยักษ์ ส่วนเจดีย์นี้ ปัจจุบันก็คือเจดีย์ชเวดากอง และการแขวนธงตะขาบก็เพื่อระลึกถึงตะขาบยักษ์เจ้าถิ่นและบูชาปูชนียสถานด้วยนั่นเอง

 

หงส์ 

“หงส์” เป็นสัญลักษณ์ของรามัญประเทศ มีตำนานที่เล่าขานกันมาดังนี้ หลังจากที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสรู้พระอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ ได้ 8 ปี ได้เสด็จไปโปรดเวไนยสัตว์ในแคว้นต่าง ๆ จนกระทั่งวันหนึ่งได้เสด็จมาถึงภูเขาสุทัศนมรังสิต ซึ่งอยู่ทางเหนือของเมืองสะเทิม ทรงผินพระพักตร์ไปทางทิศตะวันออก ทอดพระเนตรเห็นเนินดินกลางทะเล เมื่อน้ำงวดสูงได้ประมาณ 23 วา ครั้งน้ำเปี่ยมฝั่งพอน้ำกระเพื่อม บนเนินดินนั้นมีหงส์ทอง 2 ตัวเล่นน้ำอยู่ ตัวเมียเกาะอยู่บนหลังตัวผู้ เนื่องจากเนินดินที่ยืนอยู่มีขนาดเล็กเพียงนิดเดียว พอที่หงส์ยืนได้ตัวเดียว ว่ากาลสืบไปภายหน้า เนินดินที่หงส์ทองทั้งสองเล่นน้ำนี้จะกลายเป็นแผ่นดินอันกว้างใหญ่ไพศาล เป็นมหานครมีพระเจ้าแผ่นดินปกครอง และศาสนาของพระองค์จะเจริญรุ่งเรืองขึ้น ณ ที่นี้   

ครั้นสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จดับขันธ์ปรินิพพานล่วงไปแล้ว 100 ปี เนินดินกลางทะเลใหญ่นั้นก็ตื้นเขินขึ้นจนกลายเป็นแผ่นดินอันกว้างใหญ่ มีพระราชบุตรของพระเจ้าเสนะคงคา ทรงพระนามว่าสมลกุมาร และวิมลกุมาร เป็นผู้รวบรวมไพร่พลตั้งเป็นเมืองขึ้น เป็นอันว่าเมืองหงสาวดี ซึ่งมอญเรียกว่า อองสาแวะตอย ได้เกิดขึ้น ณ ดินแดนที่มีหงส์ทองลงเล่นน้ำอยู่นั่นเอง ดังนั้นชาวมอญในหงสาวดีจึงใช้หงส์เป็นสัญลักษณ์ของประเทศแต่นั้นมา ดังได้กล่าวแล้วว่า คนมอญนั้นมีชีวิต จิตใจ และความเป็นอยู่ผูกพันอยู่กับพุทธศาสนา จึงสร้างเสาหงส์ตั้งตระหง่านอยู่หน้าวัด เป็นการแสดงว่าวัดนั้นเป็นวัดมอญ

 

ธงตะขาบ

เมื่อสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสรู้พระอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณแล้ว ทรงรำลึกถึงพระมารดาซึ่งดับขันธ์ขึ้นไปสู่ดาวดึงส์เทวโลก พระองค์ปรารถนาที่จะโปรดพุทธมารดาด้วยพระอภิธรรม 7 คัมภีร์ ซึ่งเป็นธรรมชั้นสูง จึงเสด็จขึ้นไปจำพรรษาอยู่บนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์และแสดงธรรมดังกล่าว จนพระมารดาได้สำเร็จพระโสดาปัตติผลเบื้องต้น เมื่อการแสดงพระธรรมเทศนาครบ 3 เดือน (หนึ่งไตรมาส) พระมารดาบรรลุธรรมชั้นพรหมวิหารสุขากาโม ส่วนเทพทั้งหลายที่ได้มีโอกาสฟังธรรมในครั้งนี้ก็พาบรรลุโสดาปัตติผล เช่นกัน

เมื่อครบไตรมาสแล้วพระพุทธองค์ก็เสด็จกลับมายังมนุษยโลก เมื่อวันแรม 1 ค่ำ เดือน 11 ก่อนพุทธศก 80 ปี ในครั้งนั้นได้มีมวลเทพพระอินทร์ พระพรหม ได้เนรมิตให้เกิดเป็นบันไดเงิน บันไดทองรองรับ บ้างก็ถือเครื่องสูงอันประกอบด้วยราชวัตร ฉัตร ธง และเครื่องดนตรี ดีด สี ตี เป่า มาประโคม ส่วนมวลมนุษย์ในโลกที่เลื่อมใสในพระองค์ต่างพากันดีใจ นำอาหารมาใส่บาตร แต่เนื่องด้วยจำนวนคนที่ไปใส่บาตรนั้นมีจำนวนมากไม่สามารถนำอาหารเข้าไปถึงพระองค์ได้จึงทำเป็นข้าวต้มมัดเล็ก ๆ แล้วโยนใส่บาตร จึงเกิดเป็นประเพณีใส่บาตรข้าวต้มลูกโยนตั้งแต่ครั้งนั้นมา

นอกจากประชาชนจะนำอาหารไปใส่บาตรแล้ว ยังได้ทำการต้อนรับเฉลิมฉลองด้วยการปักธงรูปต่าง ๆ เป็นทิวแถว กล่าวโดยเฉพาะชนชาติมอญที่ใกล้กับประเทศอินเดียมากที่สุดนั้นได้ทำธงเป็นรูปตะขาบหรือเรียกว่า ธงตะขาบ (ภาษามอญ เรียกว่า อะลายเทียะกี) เล็กบ้าง ใหญ่บ้าง เป็นการต้อนรับสมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า 

ธงตะขาบจะใช้ไม้ไผ่สานเป็นโครงมนทั้งหัวและท้าย ความกว้างและยาวโดยประมาณคือ 1 x 3.5 เมตร จากนั้นจึงใช้ผ้ายาวขึง แล้วแทรกด้วยซี่ไม้กลางผืนธงเป็นระยะ โดยจะติดธงเล็ก ๆ ที่ปลายไม้แทรกนี้ด้วย นัยว่าเป็นขาของตะขาบ โดยรายละเอียดการแต่งธงนั้นจะแตกต่างไปตามแต่ละท้องถิ่น ธงตะขาบแต่เดิมเป็นธงกระดาษ ต่อมาเปลี่ยนเป็นผ้า ปัจจุบันใช้เชือกเป็นเส้นขอบผูกขวางคั้นด้วยซี่ไม้ไผ่เป็นช่วง ๆ ใช้เสื่อผืนยาวปิดทับแทนผ้าหรือกระดาษเป็นลำตัว ปลายไม้ที่ยื่นสองข้างทุกซี่ประดับด้วยช้อนผูกห้อยแทนขา สลับกับพู่กระดาษเพื่อความสวยงาม หัวและหางสานผูกด้วยโครงไม้ปิดกระดาษสี จะทำกี่ตัวแล้วแต่กำลัง ชาวบ้านมักจะช่วยกันทำธงที่วัด จากนั้นจะมีการแห่ธงไปรอบหมู่บ้านเพื่อเป็นการป่าวประกาศให้มาร่วมทำบุญกัน เมื่อถึงวัดจะขึงธงไว้กับต้นเสาในศาลา จากนั้นพระจะนำสายสิญจน์มาวงรอบธง แล้วจึงทำพิธีถวายธงตามด้วยการสรงน้ำพระ เสร็จแล้วจึงนำธงไปชักขึ้นแขวนบนเสาหงส์

สำหรับชาวพระประแดงนั้น วันที่ 13 เมษายน ช่วงเช้าและเพลจะมีการทำบุญถวายภัตตาหารพระ หลังจากนั้นในช่วงบ่ายจะแห่ธงตะขาบไปถวายวัดต่าง ๆ ในเขตอำเภอพระประแดง จังหวัดสมุทรปราการ ได้แก่ วัดไพชยนต์พลเสพย์ราชวรวิหาร วัดทรงธรรมวรวิหาร วัดพญาปราบปัจจามิตร วัดคันลัด วัดโมกข์ วัดปรางค์ และวัดแค

ปัจจุบัน ชาวมอญในอำเภอพระประแดงมีอยู่ 10 หมู่บ้าน จะมีการเวียนกันซึ่งเป็นการแบ่งเบาภาระการจัดงาน โดยเวียนกันเป็นประธานจัดงานปีละ 1 หมู่บ้าน ซึ่งแต่เดิมมานั้นจะกระทำกันเฉพาะแต่ละหมู่บ้านเท่านั้น ถึงอย่างไรก็ตามเมื่อมีจุดมุ่งหมายเดียวกันคือ เพื่อเป็นการบูชาแล้ว หมู่บ้านมอญทั้งหลายจึงร่วมมือกันจัดงานพร้อมกัน เป็นขบวนแห่แหนที่งดงามมาก ในวันที่ 13 เมษายนของทุกปี หมู่บ้านที่เป็นต้นแบบของประเพณีนี้ คือ หมู่บ้านทรงคนอง ซึ่งวัดประจำหมู่บ้านคือ วัดคันลัด วัดนี้มีเสาหงส์เป็นแห่งแรกในบรรดาวัดมอญทั้งหลาย 
 


บรรณานุกรม

เจริญ ตันมหาพราน. ประเพณีที่ถูกลืม. กรุงเทพฯ : รวมสาส์น, 2544

http://www.prapayneethai.com/ประเพณีแห่หงส์-ธงตะขาบ