| ชื่อเรียกอื่น | : สรงกู่ |
|---|---|
| เดือนที่จัดงาน | : เมษายน |
| เวลาทางจันทรคติ | : วันขึ้น 15 ค่ำเดือน 5 |
| สถานที่ | : ปรางค์กู่ประภาชัย บ้านนาคำน้อย ต. บัวใหญ่ อ.น้ำพอง จ.ขอนแก่น |
| ภาค / จังหวัด | : ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ : ขอนแก่น |
| ประเภท | : ประเพณีเกี่ยวกับการเฉลิมฉลองและเพื่อสิริมงคล |
| ประเพณีที่เกี่ยวข้อง | : |
| คำสำคัญ | : ปรางค์กู่ประภาชัย,สรงกู่,บ้านนาคำน้อย |
| ผู้เขียน | : สาวิตรี ตลับแป้น |
| วันที่เผยแพร่ | : 20 ก.ย. 2560 |
| วันที่อัพเดท | : 11 ต.ค. 2561 |
งานสรงกู่ประภาชัย จัดขึ้นที่ปรางค์กู่ประภาชัยหรือกู่บ้านนาคำน้อย โบราณสถานแบบขอม สร้างด้วยศิลาแลงและหินทราย รูปแบบสถาปัตยกรรมเป็นแบบ อโรคยาศาล ในสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ 7(พ.ศ.1720-1780) งานสรงกู่จัดขึ้นทุกปีอย่างต่อเนื่องตั้งแต่สมัยปู่ย่าตายาย กำหนดวันคือ วันขึ้น 15 ค่ำเดือน 5 ความโดดเด่นของงานประเพณีแห่งนี้คือ การแสดงออกถึงความรักและความเข้มแข็งของชุมชน โดยงบประมาณและการจัดงานทั้งหมดมาจากคนในชุมชน พิธีกรรมของงานสรงกู่ประภาชัยมีการผสมผสานความเชื่อเรื่องการนับถือผีและความศรัทธาในพุทธศาสนาแบบเถรวาท
หากจะย้อนความเป็นมาของชุมชนเพื่อให้รู้ลึกซึ้ง ควรเข้าเยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นแหล่งเรียนรู้กู่ประภาชัย อาคารจัดแสดงอยู่ใกล้กับด้านหน้าโบราณสถาน พิพิธภัณฑ์แห่งนี้ผู้นำชุมชนและชาวบ้านช่วยกันสร้างเพื่อต้องการเก็บรักษาวัตถุโบราณคู่บ้านคู่เมือง ให้อยู่ในสถานที่เดิม วัตถุโบราณเหล่านี้ได้แก่ เศียรรูปพระโพธิสัตว์ สมัยลพบุรี อายุประมาณ 800 ปี แก้วยอดฉัตร ทำด้วยอัญมณีก้อนกลม หุ้มด้วยเส้นโลหะ 4 ด้าน ชาวบ้านเรียกแก้วสารพัดนึก แท่นหินวางศิลาฤกษ์ แผ่นทองคำ และยังพบโบราณวัตถุอีกยุคหนึ่งช่วง 200-300 ก่อน ในสมัยล้านช้าง สมบัติมีค่าเหล่านี้ปรากฏขึ้นในช่วงการบูรณะโบราณสถานช่วงปีพ.ศ.2541-43
การที่ชาวบ้านมีความผูกพันกับกู่ประภาชัยแห่งนี้เป็นอย่างมาก สามารถสืบสาวราวเรื่องย้อนไปได้ประมาณ 150 ปี ตั้งแต่บริเวณแห่งนี้ยังเป็นป่ารกชัฏ นายพรานกลุ่มหนึ่งตามรอยสัตว์ป่าแล้วไปพบกับโบราณสถานและบ่อน้ำผุดโดยบังเอิญ ทำเลที่ตั้งเหมาะกับการทำนา จากนั้นจึงได้มีการอพยพย้ายเข้ามาตั้งหมู่บ้านแห่งใหม่ให้ชื่อว่า บ้านนาคำน้อย นายพรานทั้ง 5 ต่อมาคือพ่อใหญ่ทั้ง 5 ที่มีรายนามในห้องด้านหน้าของพิพิธภัณฑ์ เป็นต้นตระกูลของคนในหมู่บ้านแห่งนี้
ความรักในท้องถิ่นได้รับการปลูกฝังกันมา จนกระทั่งถึงช่วงเวลาสำคัญที่คนในชุมชนต้องร่วมมือร่วมใจกัน พิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นแหล่งเรียนรู้กู่ประภาชัยคือสิ่งที่เป็นรูปธรรมจับต้องได้ คุณพ่อทอง ศีละวงษ์ ประธานบริหารพิพิธภัณฑ์ฯคือบุคคลสำคัญ เป็นผู้นำในการหางบประมาณก่อสร้างอาคารจัดแสดงให้ได้มาตรฐาน ประสานงานกับหน่วยงานต่างๆ วางแผนการจัดแสดงการดูแลรักษา ฝ่าฟันอุปสรรคต่างๆ จนได้รับอนุมัติจากกรมศิลปากร ให้ดูแลรักษาโบราณวัตถุมรดกของชาติได้ กว่าจะถึงวันนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย ที่นี่จึงเป็นเพียงไม่กี่แห่งในประเทศไทยที่ชุมชนมีศักยภาพเพียงพอ
ในวันงานสรงกู่ประภาชัย คุณพ่อทอง ยังคงความกระตือรือร้นกับการเป็นผู้นำชุมชน ผู้ถ่ายทอดเรื่องราวปลูกฝังความรักในท้องถิ่น ช่วงเช้าตรู่ของวันงาน คุณพ่อทองวัย 83 ได้เดินตรวจดูความเรียบร้อยของบริเวณจัดงาน ท่านแวะกราบพระบรมสารีริกธาตุที่วัดอัญเชิญมาให้คนมากราบสักการะ แล้วมาพูดนำเป็นพิธีกรผ่านเสียงตามสาย ไล่เรียงเรื่องราวของการจัดงาน การจัดงานประเพณีของที่นี่ต่างกับที่อื่นตรงที่งบประมาณการจัดงานทั้งหมดมาจากชาวบ้านในชุมชนและวัด มีการทอดผ้าป่าที่มีคนร่วมทำบุญอย่างมากมาย บุคคลสำคัญในหน่วยงานต่างๆได้รับเชิญมาเพื่อเป็นเกียรติ ลานด้านหน้ากู่ประภาชัยเป็นลานกว้าง พื้นที่วัดจะล้อมรวมโบราณสถานไว้ด้วย เราจะมองเห็นต้นไม้ใหญ่หลายคนโอบลำต้นสูงแผ่เป็นร่มเงาหลายต้น ด้านหน้าปราสาทมีการตั้งโต๊ะจัดเครื่องบวงสรวงไว้อย่างโดดเด่น มีบายศรีประดิดประดอยเป็นลวดลายพญานาคสวยงามมาก ในขันขนาดใหญ่มีดอกไม้หอมอย่างดอกมะลิใส่ไว้เต็มขัน บริเวณบารายทรงสี่เหลี่ยมหรือบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ล้อมไว้ด้วยสายสิญจน์ 9 รอบ มีการตั้งราชวัตร ฉัตรธง (รั้วพิธีมณฑล มีฉัตรปักเป็นระยะ) ใกล้กันมีการก่อเจดีย์ทราย
บ่อน้ำแห่งนี้คือบ่อน้ำผุดในตำนานการก่อตั้งหมู่บ้าน น้ำจากบ่อได้มีการนำไปใช้ในพิธีกรรมสำคัญของประเทศได้แก่ งานเฉลิมพระชนมพรรษาครบ 60 พรรษาและ 72 พรรษาของในหลวงรัชกาลที่ 9 ขั้นตอนหนึ่งของพิธีกรรมการสรงกู่ประภาชัยในวันนี้ น้ำจากบ่อศักดิ์สิทธิ์คือน้ำที่ผ่านพิธีกรรมทั้งพราหมณ์และพุทธ จะมีการนำไปสรงรอบปรางค์กู่และสรงน้ำองค์พระ
ฝั่งด้านหน้าเครื่องบวงสรวงมีเต็นท์สำหรับพระสงฆ์ 9 รูป มีกองผ้าป่าตั้งไว้บนโต๊ะ บริเวณใต้ร่มไม้ด้านข้างโบราณสถานมีเก้าอี้สำหรับผู้มาร่วมงานหลายร้อยที่นั่ง แม่บ้านกลุ่มหนึ่งกำลังจับจีบดอกบัวทำเป็นกำไว้ให้คนนำไปไหว้พระในปรางค์กู่ นางรำแต่งกายแบบขอมหลายคนนั่งรวมอยู่ด้วย ช่วงสายก่อนเริ่มงานเล็กน้อยผู้คนพากันหลั่งไหลเข้ามาในวัดจนเต็มที่นั่ง จนล้นไปใต้ร่มไม้อีกด้านที่มีคนนำเสื่อมาปูนั่งเข้าร่วมพิธี
ตามความเชื่อของชาวบ้านนาคำน้อยและหมู่บ้านใกล้เคียงของตำบลบัวใหญ่ ก่อนหน้าการสร้างกู่ประภาชัย บริเวณนี้มีผีเจ้าที่คอยดูแลพื้นที่นี้อยู่ก่อนแล้ว ลักษณะเป็นผีนักรบหรือผีทหาร อีกนามหนึ่งที่เรียกกันคือ “เจ้าปู่หลังเขียว” ความเชื่อเรื่องผีเจ้าที่เป็นศรัทธาที่ชาวบ้านยึดถือกันเหนียวแน่น นายสงัด รื่นภาคเดช ผู้ดูแลปรางค์กู่ประภาชัย เจ้าหน้าที่กรมศิลปากร วัย 80 ปี เขาเป็นคนที่เรียกว่าอยู่ใกล้ชิดโบราณสถานแห่งนี้มากที่สุดมาหลายสิบปี มีหน้าที่ดูแลต้อนรับผู้มาเยี่ยมชม ช่วงการบูรณะซ่อมแซมในปีพ.ศ.2541-43 เขาได้ร่วมทำงานด้วย ในตอนนั้นส่วนของกำแพงแก้วและตัวปราสาทได้พังลงมาหมด ช่วงการขุดค้นได้พบเศียรพระโพธิสัตว์ เมื่อประชาชนทราบข่าวก็พากันมาดูมาสักการะกันอย่างมากมาย ตัวเขามีความเชื่อกับผีเจ้าที่เพราะได้เจอสัมผัสด้วยตนเอง ส่วนน้ำจากบ่อศักดิ์สิทธิ์ ชาวบ้านบอกว่าดื่มได้ และมีการตักไปไว้บูชา
ช่วงแรกของพิธีกรรมเป็นตามแบบพราหมณ์ จ้ำหรือพ่อใหญ่จ้ำ ผู้นำพิธีมีการท่องบทสวดบูชา พักใหญ่ได้ให้ประชาชนเข้ามาร่วมบูชาด้วยการจุดธูปปักไว้ที่เครื่องบวงสรวง รวมไปถึงการปักก้านไม้สอดเงินทำบุญไว้ที่เจดีย์ทราย ต่อจากพิธีพราหมณ์เป็นพิธีสงฆ์ พระเถระจำนวน 9 รูปได้ทำการสวดพระปริตร ชาวบ้านที่รายล้อมนั่งพนมมือจนจบพิธีสงฆ์ ญาติโยมได้ถวายเพลพระสงฆ์ จากนั้นบรรดานางรำที่มี 3 กลุ่มคือ นางรำจากบ้านนาคำน้อย เป็นหญิงสาววัยรุ่น วัยกลางคน และคนสูงวัยประมาณ 70 คน ทุกคนแต่งกายสวยงามนุ่งซิ่น หน้าตาเบิกบาน กับนักเรียนอีกสองโรงเรียนคือ โรงเรียนบัวใหญ่พิทยาคมและโรงเรียนขามแก่นนคร ได้ไปตั้งแถวด้านหน้าปรางค์กู่ รำบวงสรวงอย่างสวยงาม
ช่วงท้ายพิธี พ่อใหญ่จ้ำได้ถือขันดอกไม้เดินนำ พร้อมกับโปรยดอกไม้ไปด้วยตลอดทาง คนเดินตามถือบาตรน้ำมนตร์ แล้วเดินไปยังบารายบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ มีการเดินวนรอบบ่อ แล้วนั่งลงเพื่อเทน้ำมนตร์ลงไปในบ่อน้ำ ก็เป็นอันจบพิธี ซึ่งน้ำจากบ่อนี้จะถูกตักขึ้นมาใช้ให้ประชาชนนำมาสรงกู่และสรงน้ำพระพุทธรูป จากนั้นประชาชนก็ทยอยกันเดินเข้าปรางค์กู่ ผ่านโคปุระ กำแพงแก้ว ตักน้ำใส่ขันหรือขวด นำไปสรงไหว้พระพุทธรูปแล้วสรงไปรอบๆปรางค์กู่ พิธีสรงกู่ประภาชัยจะครบถ้วนจะต้องมีการจุดบั้งไฟเสี่ยงทาย มีบั้งบ้านและบั้งนา ทำโดยการแห่บั้งไฟรอบกู่ 3 รอบ จากนั้นนำบั้งไฟไปมอบให้หลวงปู่กู่(พระพุทธรูปในปราสาท) แล้วนำบั้งไฟไปจุดนอกกำแพงแก้ว หากบั้งไฟจุดขึ้นสูง หมู่บ้านจะสงบสุข เรือกสวนไร่นามีความอุดมสมบูรณ์
สยาม กิ่งเมืองเก่าและหอมหวน บัวระกา. “อโรคยาศาล : ประเพณี พิธีกรรม ความเชื่อในจังหวัดขอนแก่น.” วิถีสังคมมนุษย์, 3,1 (มกราคม-มิถุนายน 2558): หน้า 56-98.
สาวิตรี ตลับแป้น. พิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นแหล่งเรียนรู้กู่ประภาชัย. (ออนไลน์) แหล่งที่มา htt://www.sac.or.th/databases/museumdatabase/review_inside_ByMember_Detail.php?id=2024&CID=101640 (10 กรกฎาคม 2560).
ทอง ศีละวงษ์,ชวลิต สิทธิพงศ์สถิต,ชนกานต์ หงส์ทอง,ธนาอร ตรีศาสตร์.(วันที่ 18 มิถุนายน 2559). สัมภาษณ์. คณะทำงานพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นแหล่งเรียนรู้กู่ประภาชัย บ้านนาคำน้อย ต.บัวใหญ่ อ.น้ำพอง จ.ขอนแก่น.
สงัด รื่นภาคเดช.(วันที่ 11 เมษายน 2560). สัมภาษณ์. เจ้าหน้าที่ดูแลปรางค์กู่ประภาชัย บ้านนาคำน้อย ต. บัวใหญ่ อ.น้ำพอง จ.ขอนแก่น.