| ชื่อเรียกอื่น | : บุญปักธง, งานปักธงชัย, บุญปักธงชัย |
|---|---|
| เดือนที่จัดงาน | : พฤศจิกายน |
| เวลาทางจันทรคติ | : วันขึ้น 13 ค่ำ – วันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 12 |
| สถานที่ | : หน้าที่ว่าการอำเภอนครไทย วัดกลาง พระบรมราชานุสาวรีย์พ่อขุนศรีอินทราทิตย์ : เขาช้างล้วง |
| ภาค / จังหวัด | : ภาคกลาง : พิษณุโลก |
| ประเภท | : ประเพณีตามเทศกาล หรือประเพณี 12 เดือน,ประเพณีเกี่ยวกับการเฉลิมฉลองและเพื่อสิริมงคล |
| ประเพณีที่เกี่ยวข้อง | : |
| คำสำคัญ | : ปักธงชัย, นครไทย, ธง, พ่อขุนบางกลางท่าว, พ่อขุนศรีอินทราทิตย์, เขาช้างล้วง |
| ผู้เขียน | : ธีระวัฒน์ แสนคำ |
| วันที่เผยแพร่ | : 28 เม.ย. 2560 |
| วันที่อัพเดท | : 11 ต.ค. 2561 |
ที่อำเภอนครไทย จังหวัดพิษณุโลก มีงานประเพณีประจำปีของอำเภอ ที่จัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่และแสดงออกถึงความสามัคคี ความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของชาวนครไทย นั่นก็คือ “ประเพณีปักธงชัย” ซึ่งจะจัดขึ้นในช่วงวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 12 ของทุกปี เป็นประเพณีที่มีการปฏิบัติสืบต่อกันมาอย่างช้านานหลายชั่วอายุคน ทำให้ชาวนครไทยมีความเชื่อร่วมกันในประเพณีนี้ว่า ประเพณีนี้มีการกำเนิดและปฏิบัติสืบกันมาตั้งแต่สมัยที่พ่อขุนบางกลางหาวยังปกครองเมืองบางยาง (ซึ่งเชื่อว่าคือเมืองนครไทย) ซึ่งเป็นวีรบุรุษท้องถิ่นของชาวนครไทย
เมื่อถึงกำหนดงาน ชาวนครไทยในอดีตที่มีหมู่บ้านอยู่ใกล้ตัวเมืองนครไทย ก็จะนำธงที่ร่วมกันทอขึ้นไปปักบนเขาช้างล้วง ซึ่งเป็นเขาที่ทอดตัวขนานกับถนนสายนครไทย-ชาติตระการ ซึ่งอยู่ห่างตัวเมืองไปทางตะวันออกเฉียงเหนือประมาณ 6 กิโลเมตร โดยจะกระทำเช่นนี้เป็นประจำทุกปี
ปัจจุบันหน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชนต่างตื่นตัวและจัดงานอย่างยิ่งใหญ่ มีการผูกเรื่องราวความเชื่อท้องถิ่นในชุมชนหุบเขานครไทยหลายอย่างให้กลายมาเป็นส่วนหนึ่งในพระราชประวัติพ่อขุนบางกลางหาว (พ่อขุนบางกลางท่าว) ในฐานะองค์ปฐมกษัตริย์ในประวัติศาสตร์ชาติไทย จนนำไปสู่การให้ความหมายและสร้างประวัติศาสตร์ใหม่ในประเพณีปักธงชัยของเมืองนครไทยให้มาเกี่ยวข้องกับประวัติศาสตร์ชาตินิยมที่ผสมด้วยแนวคิดท้องถิ่นนิยม จนทำให้ชาวนครไทยแทบจะลืมสาเหตุที่มาของประเพณีนี้ไปแล้ว
บุญปักธง : อดีตของประเพณีปักธงชัย
ในอดีตเมื่อถึงเดือน 12 พระสงฆ์และผู้นำชุมชนในเขตเมืองนครไทยจะเรียกชาวบ้านในหมู่บ้านของตนมาประชุมนัดหมายกันว่าจะทำผืนธง (ธงผ้าขาว) ที่บ้านใครคนใดคนหนึ่ง ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นบ้านของผู้ที่มีความสามารถในการทอผ้าหรือบ้านของผู้นำหมู่บ้าน เพื่อใช้ในการปักธงในงาน “บุญปักธง” ในการทอชาวบ้านจะมาช่วยกันทอ โดยชาวบ้านจะนำฝ้ายที่ปลูกจากบ้านของตนมารวมกันเป็นกองกลาง จากนั้นก็จะนำมาทอเป็นผืนธง ซึ่งผู้ที่จะทำการทอมักจะเป็นผู้หญิง เพราะในอดีตผู้หญิงนครไทยสามารถทอผ้าได้ทุกคน
ธงในอดีตจะยาว 2 เมตรกว่า กว้าง 1 เมตร ใช้ใบโพธิ์ที่ทำจากแผ่นไม้ 19 ใบต่อ 1 ผืน มีทั้งหมด 3 ผืน ซึ่งทำขึ้นที่ชุมชนในเมืองนครไทยทั้ง 3 ชุมชน บริเวณชายธงจะตกแต่งด้วยใบโพธิ์ที่ทำจากไม้ จากนั้นก็นำไม้ไผ่ที่มีความยาว 1 ฟุต มาใส่หัวท้ายของผืนธง เพื่อถ่วงให้ธงมีน้ำหนักผืนธงเมื่อนำไปปักบนยอดเขา
เมื่อทำการทอธงและตกแต่งธงเรียบร้อยแล้ว วันขึ้น 14 ค่ำเดือน 12 ชาวบ้านจะมารวมกันที่วัด จากนั้นก็จะจัดเป็นขบวนแห่ธงไปยังตลาด โดยมีการสีซอ ตีฆ้อง ตีกลอง ชาวบ้านจะร่ายรำกันอย่างสนุกสนาน เมื่อแห่ธงเสร็จในตอนเย็นก่อนถึงวันปักธง จะมีการเจริญพุทธมนต์เย็นเพื่อฉลองธงที่วัดประจำชุมชน คือ วัดเหนือ (วัดหน้าพระธาตุ) วัดกลาง และวัดหัวร้อง (วัดนครไทยวนาราม)
พอถึงตอนเช้าวันขึ้น 15 ค่ำเดือน 12 ชาวบ้านก็จะเตรียมอาหารไปทำบุญตักบาตรที่วัด ถ้าคนใดจะขึ้นไปปักธงก็จะเตรียมอาหารสำหรับตนเอง และสำหรับไปเลี้ยงเพลพระสงฆ์บนเขา ผู้ที่เดินทางขึ้นไปปักธงจะต้องเดินทางเท้าผ่านทุ่งนา และป่าไปที่เขาช้างล้วง
ในการเดินทาง พระสงฆ์และชาวบ้านจะเดินทางถึงยอดเขาอย่างช้าประมาณ 5 โมงเช้า เพราะพระสงฆ์จะต้องฉันเพลที่ถ้ำฉันเพล พอพระสงฆ์ฉันเพลเรียบร้อยแล้ว ชาวบ้านจะรับประทานอาหารร่วมกัน หลังจากนั้นพระสงฆ์และชาวบ้านจะนำธงของวัดเหนือปีนขึ้นบันไดไม้ไผ่ไปปักธงที่ยอดเขาฉันเพลเป็นแห่งแรก ในขณะที่กำลังปักธง ผู้นำชาวบ้านจะกล่าวคำอาราธนา พระสงฆ์ก็จะสวดชัยมงคลคาถา และในระหว่างนั้นผู้นำชาวบ้านจะนำธงไปผูกกับลำไม้ไผ่ จากนั้นก็นำลำไม้ไผ่นั้นไปปักไว้ในหลุมบนยอดเขา ซึ่งมีลักษณะเป็นร่องลึกสามารถเสียบด้ามธงได้ พร้อมกับกล่าวคำไชโยโห่ร้องกัน และชาวบ้านก็จะนำก้อนหินไปทับเพื่อให้เสามีความมั่นคงขึ้น ถือว่าเป็นอันเสร็จพิธี
ต่อมาพระสงฆ์และชาวบ้านก็จะเดินทางไปปักธงผืนที่ 2 ที่ยอดเขาย่านไฮ ซึ่งอยู่ห่างจากเขาฉันเพลประมาณ 300 เมตร โดยธงผืนที่ 2 นี้เป็นธงของวัดกลาง จากนั้นก็ไปปักธงผืนที่ 3 ที่ยอดเขาช้างล้วง ซึ่งเป็นที่สุดท้าย โดยธงผืนที่ 3 นี้จะเป็นธงของวัดหัวร้อง ส่วนวิธีการปักธง และพิธีกรรมจะกระทำเช่นเดียวกันกับการปักธงผืนแรก
ความเชื่อ “ภูเขาศักดิ์สิทธิ์”: ที่มาประเพณีปักธงชัย
จากการสัมภาษณ์ชาวบ้านและการศึกษาจากเอกสารต่างๆ ที่เผยแพร่ในท้องถิ่นได้สรุปถึงที่มาของความเชื่อเกี่ยวกับประเพณีปักธงชัย หรือการนำธงขึ้นไปปักบนยอดเขาช้างล้วงไว้ 3 ประการด้วยกัน คือ
ประการแรก เชื่อกันว่าการปักธง จะทำให้บ้านเมืองอยู่เย็นเป็นสุข กินดีอยู่ดี โดยมีความเชื่อว่า ถ้าปีใดไม่ไปปักธงก็จะเกิดภัยพิบัติ หรือเภทภัยต่างๆ ที่ทำให้ชาวบ้านเกิดความเดือดร้อนหรือเสียชีวิตได้ เนื่องจากสาเหตุต่างๆ เช่น นาคราชจะมาล้างบ้านล้างเมือง, ยักษ์จะมากินคนหรือช้างจะมากินข้าวที่ชาวบ้านปลูก
ประการที่สอง ปักธงเพื่อระลึกถึงพ่อขุนบางกลางท่าว เมื่ออพยพมาอยู่ที่เมืองนครไทย (เมืองบางยาง) ครั้งแรก ได้เกิดการต่อสู้กับพวกเจ้าของถิ่นเดิมที่อาศัยอยู่ในบริเวณนี้ มีการต่อสู้รุกไล่กันจนมาถึงเทือกเขาช้างล้วง ทัพของพ่อขุนบางกลางท่าวประสบชัยชนะ จึงเอาผ้าคาดเอวของพระองค์ผูกปลายไม้ปักที่ยอดเขาช้างล้วงไว้เป็นอนุสรณ์ที่มีชัยชนะแก่ศัตรู และพระองค์ได้ส่งลูกหลานทั้งหลายไปปักธงที่จุดชนะศึก เพื่อรำลึกถึงชัยชนะของพระองค์ทุกปี ถ้าปีใดไม่ขึ้นไปปักธงก็จะขอให้มีอันเป็นไป
ประการที่สาม ผู้ปกครองนครไทย คิดระบบการส่งข่าวสาร เนื่องจากสมัยก่อนพวกฮ่อจะยกพวกมารังแกชาวนครไทย จึงมีข้อตกลงกันระหว่างแม่ทัพนายรองว่า เมื่อใดที่เห็นผ้าขาวชักขึ้นไปบนยอดเขาช้างล้วง ก็ให้เตรียมพลต่อสู้ศัตรู เพื่อป้องกันบ้านเมือง
ปัจจุบันความเชื่อเกี่ยวกับพ่อขุนบางกลางท่าวดูเหมือนจะเป็นที่รับรู้ของชาวนครไทยมากที่สุด แต่จากการศึกษาเชิงลึกแล้วที่มาของประเพณีนี้ไม่เกี่ยวข้องกับพ่อขุนบางกลางท่าวแต่อย่างใด กลับพบว่าการปักธงไว้บนยอดเขา เป็นการบูชาเจ้าป่าเจ้าเขา ผีสางเทวดาของคนในท้องถิ่น จะสามารถพบได้ทั่วไปในกลุ่มชนพื้นเมืองของภูมิภาคนี้มาช้านาน มีการบวงสรวงขอพรต่อผีสางเทวดาให้บันดาลความสุข ความอุดมสมบูรณ์ของข้าวปลาอาหาร มาสู่ชาวบ้านในท้องถิ่นนั้นๆ การบูชาเช่นนี้มีมาตั้งแต่อดีต อย่างเช่นการบูชาหรือพลีของชาวสุโขทัย ที่กระทำต่อพระขพุงผีเทวดา ดังปรากฏในจารึกพ่อขุนรามคำแหง ว่า “...มีพระขพุงผีเทวดาในเขาอันนั้น เป็นใหญ่กว่าทุกผีในเมืองนี้ ขุนผู้ใดถือเมืองสุโขทัยนี้แล้ ไหว้พลีถูก เมืองนี้เที่ยง เมืองดี ผิไหว้บ่ดี พลีบ่ถูก ผีในเขาอั้นบ่คุ้ม บ่เกรง...” หรือในบริเวณใกล้เคียงก็มีการบูชาหินสี่ทิศในอุทยานแห่งชาติภูตีนสวนทรายของชาวนาแห้ว จังหวัดเลย
แม้แต่การปักธงบนภูเขาหรือเนินเขาในปัจจุบันก็พบมากในภาคอีสานและภาคเหนือ ซึ่งบางแห่งจะปักกันในช่วงเดียวกับบุญบั้งไฟ เพื่อให้พญาแถน ผีสางเทวดาบนภูเขาบันดาลให้ฝนตกต้องตามฤดูกาล เพื่อความอุดมสมบูรณ์ของพืชพันธุ์ธัญญาหารและความสมบูรณ์พูนสุขในการดำรงชีวิตของคนในท้องถิ่น ทั้งนี้ถึงแม้จะมีการับเอาพระพุทธศาสนาแล้วก็ตาม แต่ก็มีความเชื่อในเรื่องผีสางเทวดาเจ้าป่าเจ้าเขาอยู่ มีการประยุกต์ความเชื่อโดยเอาพระสงฆ์เข้ามามีบทบาทในพิธีกรรมความเชื่อเดิม จะให้ได้จากการนิมนต์พระขึ้นไปสวดชัยมงคลคาถาบนยอดเขาในการปักธงชัย ซึ่งเป็นการประยุกต์ที่เข้ากันได้อย่างเหมาะสมและลงตัวกับความเชื่อเดิมกับพระพุทธศาสนา
ปักธงชัย : ประเพณียิ่งใหญ่ของชาวนครไทยในปัจจุบัน
จากบุญปักธงได้เปลี่ยนชื่อใหม่เป็นประเพณีปักธงชัย คำว่า “ปักธงชัย” เพิ่งจะเกิดขึ้นเมื่อประมาณทศวรรษที่ 2520 นี้เอง ซึ่งเกิดขึ้นเพราะมีการจัดงานประจำปีของอำเภอจึงมีการตั้งชื่อใหม่ให้เป็นทางการโดยมีกลุ่มข้าราชการในจังหวัดพิษณุโลกให้การสนับสนุนและปลูกฝังความรู้ทางประวัติศาสตร์ชุดหนึ่งเกี่ยวกับพ่อขุนบางกลางท่าวและเมืองบางยางให้แก่ชาวบ้าน
ประเพณีปักธงชัยของชาวนครไทยในปัจจุบัน เป็นประเพณีที่มีการจัดงานอย่างยิ่งใหญ่ จนเป็นที่น่าสนใจสำหรับการท่องเที่ยวในเชิงวัฒนธรรม ซึ่งนอกจากชาวบ้านในเขตเมืองนครไทยแล้ว ยังมีชาวบ้านทุกตำบลในอำเภอนครไทยและผู้คนจากที่อื่นๆ ด้วยที่มาร่วมงานในประเพณีดังกล่าว ซึ่งมีการจัดขึ้นเป็นเวลา 10 วัน 10 คืน งานประเพณีปักธงชัยจะเริ่มการจัดงานกันในวันขึ้น 13 ค่ำ เดือน 12 จนถึงวันแรม 7 ค่ำเดือน 12
วันแรก จะมีการจัดแสดงนิทรรศการของส่วนราชการ การจัดคาราวานสินค้า การแสดงพิพิธภัณฑ์นครบางยางจำลอง มหกรรมอาหารนครไทย การออกร้านกิ่งกาชาด การแสดงพื้นเมือง การแสดงดนตรี คอนเสิร์ต การจำหน่ายสินค้าหนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์ การประกวดผลผลิตทางการเกษตร
วันที่ 2 ในช่วงเช้าหน่วยงานราชการและชาวบ้านจะมารวมกันที่บริเวณวัดกลาง เพื่อประกอบพิธีบวงสรวงอนุสาวรีย์พ่อขุนบางกลางท่าว (พ่อขุนศรีอินทราทิตย์) ซึ่งจะมีทั้งพิธีพราหมณ์และพุทธ โดยมีผู้ว่าราชการจังหวัดพิษณุโลกเป็นประธาน
ในช่วงเวลาบ่าย จะเป็นการเดินขบวนแห่เทิดพระเกียรติพ่อขุนบางกลางท่าว พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและขบวนแห่แสดงเอกลักษณ์ของแต่ละตำบล ซึ่งแต่ละตำบลจะมีการจัดรูปขบวนอย่างสวยงามและยิ่งใหญ่ หลังจากนั้นทุกขบวนจะมารวมตัวกัน ณ หน้าที่ว่าการอำเภอนครไทย
ในช่วงเวลากลางคืน จะมีการแสดงโชว์ แสง สี เสียง เกี่ยวกับประวัติศาสตร์พ่อขุนบางกลางท่าวและประเพณีปักธงชัย ซึ่งมีความยิ่งใหญ่อลังการสะท้อนให้เห็นถึงศักยภาพของชาวนครไทยได้เป็นอย่างดี เมื่อการแสดงจบก็จะมีการจุดพลุเพื่อสร้างความความประทับใจให้กับผู้ร่วมงาน จากนั้นจะมีการประกวดธิดาพ่อขุนและการประกวดร้องเพลง ตามลำดับ
วันที่ 3 ผู้ร่วมงานทุกคนจะมารวมตัวกันที่เขาช้างล้วง ซึ่งเป็นเทือกเขาที่ทอดตัวขนานไปกับถนนสายนครไทย-ชาติตระการ ห่างจากตัวอำเภอนครไทยไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือประมาณ 6 กิโลเมตร เมื่อประธานกล่าวพิธีเปิดงานเสร็จ บรรดาผู้ร่วมงานก็จะร่วมเดินทางขึ้นเขาเพื่อไปปักธงชัย โดยจะเดินทางไปที่ยอดเขาฉันเพลเป็นแห่งแรก หลังจากนั้นก็จะเดินทางไปที่ยอดเขาย่านไฮ และยอดเขาช้างล้วง ตามลำดับ โดยในปัจจุบันผู้ที่เป็นประธานในการปักธงก็คือ ผู้ว่าราชการจังหวัดพิษณุโลก ส่วนพิธีกรรมเหมือนกับในอดีต ส่วนกลางคืนก็มีการประกวดธิดาพ่อขุนและหลานพ่อขุน
วันที่ 4-10 จะมีการจัดแสดงนิทรรศการของส่วนราชการ การจัดคาราวานสินค้า การแสดงพิพิธภัณฑ์นครบางยางจำลอง มหกรรมอาหารนครไทย การออกร้านกิ่งกาชาด การแสดงพื้นเมือง การแสดงดนตรี คอนเสิร์ต การจำหน่ายสินค้าหนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์ การประกวดผลผลิตทางการเกษตร การแข่งขันกีฬา การแข่งขันว่าว การประกวดและการแสดงของนักเรียน
จากงานบุญประจำปีของชาวนครไทยได้มีความเปลี่ยนแปลงไปเป็นงานใหญ่ระดับจังหวัด มีหน่วยงานรัฐและเอกชนเข้ามาให้การสนับสนุนทั้งงบประมาณและการประชาสัมพันธ์ บทบาทในการมีส่วนร่วมของประชาชนในประกอบพิธีกรรมงานบุญได้เปลี่ยนแปลงไปเป็นหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ราชการ ประชาชนมีหน้าที่เพียงเป็นผู้ไปร่วมงาน ไปดูการแสดง ซื้อสินค้าและร่วมขบวนแห่เทิดพระเกียรติเท่านั้นเอง จนทำให้ชาวนครไทยไม่เข้าใจถึงที่มาของประเพณีอย่างแท้จริง ธงที่ใช้ในการปักนั้นจากในอดีตจะยาว 2 เมตรกว่า แต่ปัจจุบันทางเทศบาลตำบลนครไทยกำหนดให้ยาว 6 เมตรรวมชาย
แต่สำหรับในปี พ.ศ.2559 ที่ผ่านมา ชาวนครไทยได้จัดงานประเพณีปักธงชัยแบบเรียบง่ายและคล้ายกับการจัดงานในอดีต แต่ไม่มีการสมโภชแห่ธงร้องรำทำเพลง เนื่องจากเป็นช่วงไว้ทุกข์งานพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช จึงมีการจัดงานเพียง 2 วัน คือวันขึ้น 14 ค่ำเดือน 12 ตอนเช้ามีการทำพิธีบวงสรวงดวงพระวิญญาณพ่อขุนศรีอินทราทิตย์ที่เบื้องหน้าพระบรมรูปพ่อขุนศรีอินทราทิตย์ภายในวัดกลาง และเบื้องหน้าพระบรมราชานุสาวรีย์พ่อขุนศรีอินทราทิตย์บริเวณสวนสาธารณะหนองปู่ส่วนตอนเช้าวันขึ้น 15 ค่ำเดือน 12 ก็มีข้าราชการ ชาวบ้าน นักเรียนและพระสงฆ์ร่วมพิธีเดินทางขึ้นเขาช้างล้วงเพื่อปักธงยังยอดเขาทั้งสามยอด โดยมีนายศุภชัย เอี่ยมสุวรรณ ผู้ว่าราชการจังหวัดพิษณุโลก เป็นประธานในการปักธง เมื่อปักธงเสร็จแล้วก็ลงเขาแยกย้ายกันกลับบ้าน โดยไม่มีงานรื่นเริงใดๆ เลย
กรมศิลปากร. (2548). ประชุมจารึก ภาคที่ 8 จารึกสุโขทัย. กรุงเทพฯ: กรมศิลปากร.
ขวัญทอง สอนศิริ (บรรณาธิการ). (2553). พ่อขุนศรีอินทราทิตย์ (พ่อขุนบางกลางท่าว) พระปฐมกษัตริย์ ผู้สร้างชาติไทย. พิษณุโลก: รัตนสุวรรณการพิมพ์ 3.
คมเดช สุวรรณชาญ. (2554). “พ่อขุนบางกลางท่าวและเมืองบางยาง: รัฐชาตินิยมผสมท้องถิ่นนิยมกับการสร้างประวัติศาสตร์ใหม่ของเมืองนครไทย”. นิตยสารศิลปวัฒนธรรม. ปีที่ 32 ฉบับที่ 12.
เทศบาลตำบลนครไทย. (2549). งานประเพณีปักธงชัย. พิษณุโลก: รัตนสุวรรณการพิมพ์,.
ศรีศักร วัลลิโภดม. (2542). “ภูเขาศักดิ์สิทธิ์กับความเป็นสากล”. วารสารเมืองโบราณ. ปีที่ 25 ฉบับที่ 3.
หวน พินธุพันธ์. (2514). พิษณุโลกของเรา. กรุงเทพฯ: วิทยาลัยการศึกษา พิษณุโลก.
สัมภาษณ์
1. พระครูพระครูนครบุราณานุรักษ์ อายุ 82 ปี เจ้าอาวาสวัดนครไทยวราราม ต.นครไทย อ.นครไทย จ.พิษณุโลก สัมภาษณ์วันที่ 13 พฤศจิกายน 2559.
2. พระครูสถิตชยานันท์ อายุ 59 ปี เจ้าอาวาสวัดกลาง ต.นครไทย อ.นครไทย จ.พิษณุโลก สัมภาษณ์วันที่ 12 พฤศจิกายน 2559.
3. นายทวีป แก้ววงษ์หิว อายุ 58 ปี บ้านเลขที่ 1 ม.12 ต.นครไทย อ.นครไทย จ.พิษณุโลก สัมภาษณ์วันที่ 13 พฤศจิกายน 2559.
4. นางมณฑา อุ่นไพร อายุ 68 ปี บ้านเลขที่ 1 ม.6 ต.นครไทย อ.นครไทย จ.พิษณุโลก สัมภาษณ์วันที่ 13 พฤศจิกายน 2559.
5. นางสุภาพรรณ วงศ์สมบัติ อายุ 54 ปี หัวหน้ากลุ่มสาระสังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม โรงเรียนนครไทย ต.นครไทย อ.นครไทย จ.พิษณุโลก สัมภาษณ์วันที่ 13 พฤศจิกายน 2559.
6. นางอำไพ แก้วมงคล อายุ 89 ปี บ้านเลขที่ 60 ม.12 ต.นครไทย อ.นครไทย จ.พิษณุโลก สัมภาษณ์วันที่ 13 พฤศจิกายน 2559.